
เผยแพร่ |
---|
‘ตลาด’ มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดน้ำ ตลาดบก ตลาดสด หาบเร่แผงลอย และโดยเฉพาะ ‘ตลาดนัด’ ซึ่งอาจไม่แตกต่างกับตลาดทั่วไป แต่มีความพิเศษอยู่ที่การกำหนด ‘เวลา’ ในการ ‘นัด’ การซื้อขาย ตามที่ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของตลาดนัดไว้ว่า “ที่ชุมนุมเพื่อซื้อขายของต่าง ๆ ซึ่งมิได้ตั้งอยู่ประจำ จัดให้มีขึ้นเฉพาะในวันหรือสถานที่ที่กำหนดเท่านั้น”
รูปแบบของตลาดนัดมีผู้อธิบายไว้ว่า “เหตุผลของการเกิดตลาดนัด…เนื่องจากวิถีชีวิตของชาวไทยนั้นชอบอยู่กันเป็นหมู่คณะ และรักความสะดวกสบาย ไม่ชอบที่จะต้องเดินทางไปซื้อขายแลกเปลี่ยนไกลบ้าน จึงทำให้เกิดกลุ่มคนที่นัดกันเป็นกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยจัดเป็นชุมนุมเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือซื้อขาย ซึ่งต่อมาเรียกว่า ตลาดนัด”
สมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่า ‘ตลาดปสาน’ อาจเป็นหนึ่งในตลาดนัดสมัยนั้น สมัยอุยธยาก็มีตลาดนัดทั้งบกและน้ำ รวมถึง ‘ตลาดป่า’ ที่เรียกตลาดป่าเพราะคนป่าคนเขา เวลาเข้ามาค้าขายในเมืองก็จะนำสินค้ามาวางขาย เหมือนนัดหมายกันที่ตลาดแห่งนี้ ขายตอนเช้าครั้งหนึ่ง ตอนเย็นอีกครั้งหนึ่ง
ตลาดนัดสมัยธนบุรีก็มีลักษณะเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา แต่จะมีขนาดเล็กกว่า เป็นตลาดที่เรียกกันว่า ‘ตลาดสายหยุด’ เปิดขายตั้งแต่เช้า ถึงช่วงสายก็เลิกขาย แล้วกลับมาเปิดใหม่ตอนบ่ายถึงเย็น
สมัยรัตนโกสินทร์ก็มีตลาดนัดกระจายทั่วไป เช่น ตลาดนัดบริเวณปากคลองตลาดรวมถึงท่าเตียน สินค้าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับบรรดาข้าราชสำนักโดยเฉพาะ บริเวณอื่น ๆ ก็มีตลาดนัด เช่น ตลาดนัดของคนจีนแถวตลาดน้อย สำเพ็ง ตลาดนัดของคนเขมร คนญวนแถวคลองผดุงกรุงเกษม และตลาดนัดของพวกฝรั่งแถวบางรัก บางคอแหลม
เมื่อสงครามโลกครั้งที 2 ปะทุ เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ประชาชนหาซื้อข้าวของเครื่องใช้กันลำบาก รวมถึงเกษตรกรก็เดือดร้อน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีจึงจัดให้มีตลาดนัดส่งเสริมอาชีพกสิกรรมและเกษตรกรรม จัดขึ้นที่ ‘ศาลาเทศบาลนครกรุงเทพ’ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ประชาชนมาจับจ่ายกันในช่วงเช้า สายถึงบ่ายก็ไม่มีคนแล้ว สินค้าซื้อขายในช่วงแรกยังไม่มีสินค้าจากต่างจังหวัดและจากสวนใกล้เคียง มักจะเป็นของกินเล่น
ต่อมาตลาดนัดนี้จึงค่อย ๆ นิยมเพิ่มขึ้น มีสินค้าหลากหลายมาขายเพิ่มขึ้น สถานที่เริ่มคับแคบจึงย้ายไปที่สนามหลวง จนกลายเป็นตลาดนัดที่หลาย ๆ คนรู้จักคือ ‘ตลาดนัดสนามหลวง’
ตลาดนัดสนามหลวงเปิดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2491 ขณะที่จอมพล ป. พิบูลสงครามยังให้เปิดตลาดนัดขึ้นแทบทุกจังหวัด ปีต่อมาทางการต้องใช้พื้นที่สนามหลวงจึงย้ายตลาดนัดไปอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์ ปรากฏว่าตลาดนัดยิ่งได้รับความนิยมสูงมาก ต่อมากระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดิมทำการอยู่ที่พระราชวังสราญรมย์ ร้องเรียนกลิ่นปลาเค็ม หอยดอง ปลาร้า ปลาเจ้า กะปิ น้ำปลา สารพัดกลิ่นส่งไปถึงกระทรวง รวมถึงพันธ์ุไม้ก็เฉาตายไปมากเพราะการจัดการไม่ถูกสุขลักษณะ ราดน้ำร้อนบ้าง น้ำก๋วยเตี๋ยวบ้าง น้ำล้างหม้อบ้าง
ในที่สุด พ.ศ. 2500 จึงย้ายออกจากพระราชอุทยานสราญรมย์มาด้านนอก ด้านถนนราชินี บริเวณคลองหลอด แต่ปรากฏว่าได้ปลูกเพิงสร้างแคร่จนเป็นภาพไม่งดงาม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี จึงให้ย้ายตลาดนัดนี้กลับไปยังสยามหลวงตามเดิมใน พ.ศ. 2501 โดยในระยะนั้นมีผู้ค้าประมาณ 300-400 ราย ต่อมาจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มีนโยบายเพิ่มตลาดนัดที่เรียกว่า ‘สี่มุมเมือง’ เป็นตลาดนัดจัดหมุนเวียนกันตลอดทั้งสัปดาห์ คือ วันจันทร์ ตลาดนัดที่ท่าเรือ บี ไอ ริมถนนเจริญกรุง, วันอังคาร ตลาดนัดที่ถนนสังคโลกข้างวชิรพยาบาล, วันพุธ ตลาดนัดที่ถนนพระราม 5 หน้าทำเนียบรัฐบาล, วันพฤหัสบดี ตลาดนัดที่ ‘คลองเตยสะพานดำ’ (อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือกรุงเทพฯ เอกลักษณ์ไทย), วันเสาร์และวันอาทิตย์ ตลาดนัดที่สนามหลวง และสวนลุมพินี
ต่อมา ได้เลิกตลาดนัดหมุนเวียนเหล่านี้ คงเหลือแต่เพียงตลาดนัดสนามหลวงเพียงแห่งเดียว จนกระทั่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมใช้พื้นที่สนามหลวงจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จึงได้ปิดตลาดนัดสนามหลวงตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา แล้วย้ายตลาดนัดมายังสวนจุตจักรที่เปิดค้าขายกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตลาดนัดอีกรูปแบบหนึ่งที่ปรากฏขึ้นหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 คือ ‘เปิดท้ายขายของ’ เป็นตลาดนัดที่นำสินค้ามือสองสภาพดีมาขายจนเป็นที่นิยม ใช้ท้ายรถเป็นร้านค้าวางสินค้า แต่ต่อมาก็ได้นำสินค้าใหม่มาขายด้วย และเลิกใช้ท้ายรถมาใช้แผงหรือราวแขวนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
ตลาดนัดในช่วงหลังนี้ได้รับความนิยมและขยายจำนวนมากขึ้น ปรากฏตลาดนัดอยู่ทั่วทุกมุมเมือง โดยเฉพาะในย่านธุรกิจหรือใกล้สถานที่ราชการ เช่น ตลาดนัดข้างกระทรวงศึกษาธิการ ตลาดหลังสำนักงานการบินไทย ตลาดหลังตึกปตท. ตลาดซอยละลายทรัพย์ ตลาดข้างตึกเมืองไทยประกันชีวิต ฯลฯ ผู้ค้าอาจหมุนเวียนเปลี่ยนตลาดนัดไปเรื่อย ๆ อาจประจำอยู่ที่ตลาดนัดนี้แค่วันนี้ วันอื่นไปตลาดนัดที่อื่น
ต่อมาก็ปรากฏรูปแบบของตลาดนัดแบบใหม่ คือการจัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ เช่น อิมแพคเมืองทองธานี ไบเทคบางนา หรือศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ ‘ถนนคนเดิน’ หรือ Walking Street ที่ผสมผสานตลาดนัดเข้ากับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เช่น งาน สามแพร่ง Facestreet หรืองาน Bangkok Design Week เป็นตลาดนัดศิลปะและวัฒนธรรม
ตลาดนัดได้ปรับเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตของคน ตามกาลสมัย ในปัจจุบันก็มีรูปแบบตลาดนัดออนไลน์ ซื้อขายสินค้ากันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีการสร้างกลุ่มในเฟซบุ๊ก เพื่อเสนอขายสินค้านานาชนิด ท่ามกลางวิกฤตการณ์ ‘โควิด-19’ ที่ทำให้ตลาดนัดหยุดชะงัก แต่ตลาดนัดออนไลน์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแทนที่เรียบร้อย (นาน) แล้ว
อ้างอิง :
สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร. (2528). กรุงเทพฯ เอกลักษณ์ไทย. กรุงเทพฯ : สัมพันธ์การพิมพ์.
ทรงสิริ วิชิรานนท์. (มีนาคม, 2556). พัฒนาการตลาดนัด. วารสารวิชาการและวิจัย มทร.พระนคร. ปีที่ 7 : ฉบับที่ 1.
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 เมษายน 2563