หลังม่านการสัมภาษณ์เจ้าพระยาธรรมาฯ เผยชีวิต-ความในใจเมื่อว่างงานห้วงเศรษฐกิจตกต่ำ

เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ภาพจากหนังสือ แต่งตั้งเจ้าพระยาฯ)

การสื่อสารมวลชนไทยมีพัฒนาการมายาวนานต่อเนื่องนับตั้งแต่วิทยาการการพิมพ์เข้ามาในไทย กระทั่งถึงสมัยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในช่วงหนึ่ง ห้วงเวลารอยต่อระหว่างรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 ก็เกิดความผันแปรในสภาพเศรษฐกิจเป็นผลให้สื่อต้องปรับตัว อันก่อให้เกิดชิ้นงานบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น อาทิ การสัมภาษณ์ 6 เจ้าพระยาที่ “ว่างงาน(ประจำ)” หลังต้องออกจากราชการ

การหนังสือพิมพ์ในไทยช่วงรอยต่อระหว่างรัชกาลที่ 6 มาถึงรัชกาลที่ 7 ต้องเผชิญกับภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือภาวะ “เงินแผ่นดินไม่สู่ดุลย์” บันทึกของสถิตย์ เสมานิล นักหนังสือพิมพ์มากประสบการณ์สมัยนั้น เล่าผ่านหนังสือชื่อ “วิสาสะ” ว่า ช่วงระหว่างนั้น มีข่าวเรื่องปัญหาการเงินซึ่งไม่เป็นสิริมงคลต่อบ้านเมือง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบหน่วยงานหรือลดฐานะลงเป็นหน่วยราชการย่อยเป็นอันมาก

เมื่อมีการยุบหน่วยงานคนทำงานก็พลอยลดลงไปด้วย ข่าวคราวในช่วงนี้เป็นข่าวใหญ่ของบ้านเมืองเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อการค้าขายที่ตั้งเค้าฝืดเคืองในยุโรปและอเมริกาเริ่มลามเข้าสู่สยามด้วย ผลกระทบจากสถานะการเงินในแผ่นดินก่อนก็ยังส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงรัชสมัยพระปกเกล้าฯ สถิตย์ เล่าว่า บรรดาข้าราชการทุกกรมและกระทรวงที่เจ้ากระทรวงเห็นเกินจำเป็นก็ต้องออกกันมาก คนที่ต้องถูกให้ออกก็มักพูดกันว่า “ถูกดุน” ออกเสียแล้ว

ขณะที่ข้าราชการผู้ใหญ่ที่อายุรับราชการนานก็มีบ้างที่ลาออก บุคคลที่เป็นข่าวใหญ่คือ “พระยาศรีบัญชา” ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ แม้ท่านไม่เข้าข่าย “ถูกดุน” แต่เมื่อท่านทราบว่าเสมียนหลายรายที่มีเงินเดือน 25-30 บาท ต้องถูกให้ออก สถิตย์เล่าว่า ท่านเป็นผู้ขอออกจากราชการโดยขอให้กระทรวงคงเสมียนพนักงานเหล่านี้อยู่ในหน้าที่ตามเดิม

ยุคนี้นักหนังสือพิมพ์ก็เรียกกันว่า “เศรษฐกิจตกต่ำ” เมื่อได้ข่าวคราวในวงราชการ ข่าวนี้ก็ทำให้นักวิจารณ์ นักหนังสือพิมพ์ต่างแสดงความคิดเห็นแนะนำต่างๆ นานา

หนังสือพิมพ์ “ไทยหนุ่ม” ที่เคยประกาศลดราคาขายปลีกฉบับละ 10 สตางค์ ลงขาย 5 สตางค์ และทดลองตีพิมพ์เพิ่มจาก 1,800 เป็น 3,000 ในวันแรกที่ลองพิมพ์ก็ได้ดีสมหวัง ยิ่งเมื่อลงพิมพ์พงศาวดาร “โกษาเหล็ก” อันเป็นเรื่องที่นำพงศาวดารไทยผูกเป็นทำนองเดียวกับ “เรื่องจีน” (เกร็ดพงศาวดารจีน ที่มีบทเจรจาทัพยามเผชิญหน้ากันแทบจะเหมือนเด็กหนุ่มทะเลาะกัน) ยิ่งทำให้จำนวนตีพิมพ์เพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาด (ทำให้หนังสือพิมพ์เล่มอื่นต้องพลอยมี “เรื่องไทย” แทนที่ “เรื่องจีน” ที่เคยมีเล่มละ 2 เรื่อง กลายเป็นเรื่องจีนเหลือเรื่องเดียว และมีไทย-จีนคู่กัน

ครั้งหนึ่งบรรณาธิการผู้มีอายุของ “ไทยหนุ่ม” มีโอกาสอ่านเรื่องราชาธิราชวิลเฮล์ม หรือไกเซอร์ ในหนังสือ “เคอเรนท์ ฮิสตอรี่” รายเดือน เล่าพระจริยวัตร ของกษัตริย์นอกราชสมบัติในเยอรมนี โดยผู้เขียนไปเฝ้าสัมภาษณ์ที่ดูร์น แห่งวิลันดา กลายเป็นไอเดียในช่วงพ.ศ. 2471 ว่าหากได้สัมภาษณ์เจ้าพระยาที่ออกจากตำแหน่งราชการแล้วมาลงพิมพ์ น่าจะมีผู้อ่านชื่นชอบเมื่อไม่เคยมีใครในไทยทำด้วย

“ไทยหนุ่ม” ได้ตีพิมพ์บท “สัมภาษณ์” (ใช้คำนี้แทนคำว่า “อินเตอร์วิว”) พาดหัวหน้าแรกเหนืออักษร “ไทยหนุ่ม” ว่า “4 เสนาบดีนอกราชการของไทย ทำอะไรแก้รำคาญกันบ้าง”

6 เจ้าพระยาเสนาบดีที่เป็นเป้าหมายการสัมภาษณ์ ได้แก่ เจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย, เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ และคมนาคม, เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม, เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม, เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวัง

คลิกอ่านเพิ่มเติม“เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกมีแนวคิดการเมืองอย่างไร

เนื้อความที่สถิตย์ เขียนเล่าในหนังสือ “วิสาสะ” ตอนหนึ่งอธิบายถึงบรรยกาศการสัมภาษณ์เจ้าพระยาเสนาบดีทั้งหลาย เมื่อมาถึงช่วงเจ้าพระยาธรรมาฯ สถิตย์ บรรยายว่า ท่านเป็นคนสุดท้ายในชุดสัมภาษณ์ 6 เจ้าพระยา สัมภาษณ์ ณ เคหาสน์ริมคลองผดุงกรุงเกษมติดกับสะพานกษัตริย์ศึก สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งชื่อเคหาสน์ว่า “พิบูลธรรม” ใช้เป็นที่พักแขกของรัฐบาล ภายหลังก็เป็นสำนักงานพลังงานแห่งชาติ

“บ้านท่านเจ้าพระยาธรรมาฯ ผิดกับบ้านเจ้าพระยาทุกท่านที่ผมได้ไปเห็นมาแล้ว ในความเป็นระเบียบ สนามหญ้าราวกะพรมปูไว้ ถนนจากประตูบ้านถึงตัวตึก และสนามหญ้าวงกลมหน้าตึก ดูราวกะว่าไม่มีสิ่งรกแม้กระทั่งก้นบุหรี่ และก้านไม้ขีดไฟเป็นต้น…” สถิตย์ บรรยายสภาพบ้านของเจ้าพระยาธรรมาฯ

ผู้เขียนยังเล่าว่า ได้ยินกิตติศัพท์ว่า เจ้าพระยาธรรมาฯ ไว้ยศศักดิ์ยิ่งกว่าขุนนางในรัชสมัยพระมหาธีรราช จนเป็นที่โจษจันกันทั่ว เมื่อได้เห็นบริวารชายในบ้านนั้นซึ่งนุ่งผ้าพื้นสีน้ำเงิน สวมเสื้อกระบอก ยิ่งทำให้เสียงเล่าลือเพิ่มน้ำหนักขึ้น

ผู้เขียนบรรยายเหตุการณ์ตอนพบกับเจ้าพระยาธรรมาฯ ว่า

“ขณะเหลียว และก้าวตามผู้พา เห็นท่านผู้ใหญ่ร่างใหญ่หนวดงามนั่งเป็นสง่าอยู่ที่โต๊ะกลมกลางกระโจม เมื่อผมจะก้าวขึ้นบนนั้นได้คารวะท่านอย่างนอบน้อม ท่านรับไหว้พร้อมกับบอกเชิญ มือขวาทอดไปที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามท่านนั่ง…”

สถิตย์ กราบเรียนเหตุที่มาสัมภาษณ์โดยอ้างหนังสือพิมพ์ฝรั่งดังที่กล่าวข้างต้นดังเช่นกับที่กราบเรียน 5 เจ้าพระยามาก่อนแล้ว พร้อมอธิบายต่อว่า “ได้รับงานมาคิดอยากทราบความสบายไม่สบายของใต้เท้า”

เจ้าพระยาธรรมาฯ ตอบว่า “ว่าถึงความสบายมันก็สบาย เพราะไม่ต้องทำอะไร กินกับนอนเท่านั้นนี่นะ จะไม่สบายยังไง!”

ผู้สัมภาษณ์เล่าว่าต้องพยายามอธิบายว่า ข้อความใดที่เจ้าพระยาเกรงว่าจะก่อมลทิน จะไม่เขียนข้อความนั้น พร้อม “ชักแม่น้ำทั้งห้า” เอ่ยถึงบรรพบุรุษแห่งสกุลของเจ้าพระยาฯ ที่รับราชการมาแต่เก่าแก่ เพื่อสอบถามถึงสภาวะพ้นจากหน้าที่แล้ว “ไม่ทำให้โทมนัสบ้างหรือ?”

เจ้าพระยาธรรมาฯ ตอบว่า “ต้นตระกูลฉันสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า รัชกาลที่ 4 ทรงชุบเลี้ยง รับราชการใกล้ชิดพระองค์ กรมหมื่นปราบฯ ลูกสมเด็จกรมพระยาบำราบฯ คือพ่อฉัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ทรงชุบเลี้ยง ต่อมาถึงรัชกาลที่ 6 ท่านก็ทรงชุบเลี้ยงฉัน แปลงปู่เลี้ยงปู่ พ่อเลี้ยงพ่อ ลูกเลี้ยงลูก แต่ฉันก็ถูกไล่ออก ที่ท่านก็รู้เห็นอยู่นี่แหละ ท่านนึกว่าเป็นใครมั่งจะไม่เสียใจ มีไหม”

สถิตย์ เล่าว่า ได้เลียบเคียงเติมอีกว่า “ใต้เท้ากรุณาคงทราบเรื่องจะต้องออกไว้ก่อน—“

เจ้าพระยาธรรมาฯ ว่า “ทราบซี พอพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สวรรคตแล้ว ก็ทราบ กระทรวงวังทราบกันทั้งนั้นว่าใครจะอยู่ใครจะไป”

(ข้อมูลหลายแห่งบันทึกว่า หลังเสร็จงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 6 ท่านก็ลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง)

ผู้สัมภาษณ์ ถามเพิ่มเติมว่า “ใต้เท้ากรุณาคงจะทราบด้วยว่าเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ จะเข้าไปแทน”

ตอนหนึ่งของบันทึกมีใจความว่า

“ท่านว่า ‘ท่านคนนี้’—ท่านกล่าวเหมือนสะดุดอะไรอยู่ แล้วจึงต่อไปว่า ‘ก็ทราบ แต่ฉันไม่เชื่อไม่นึกว่าผู้ไม่รู้พระราชพิธีพระราชสำนักจะมาเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง’

ผมแสดงความสงสัยคล้อยตามท่าน ‘อ้อ, ท่านเสนาบดีกระทรวงวังปัจจุบันไม่สู้ช่ำชองราชการในพระราชฐาน!’

ท่าน ‘ก็จะเป็นไรไป จะมีพระราชพิธีสำคัญไม่รู้จะทำอะไรก็เที่ยวถามเขาเอา ก็คงพอรอดตัวไปได้ละกระมัง'”

ในการสัมภาษณ์ เจ้าพระยาธรรมาฯ ยังเอ่ยว่า ขอให้รับปากว่าจะไม่เปิดเผยคำที่ขอให้ปิดเอาไว้ ซึ่งข้อความข้างต้นที่ว่า “ปู่เลี้ยงปู่ พ่อเลี้ยงพ่อ ลูกเลี้ยงลูก” สถิตย์เผยว่า คือข้อความที่ท่านขอนั่นเอง

สถิตย์ เล่าในหนังสือ “วิสาสะ” ภายหลังว่า แปลงสารนี้กลายเป็นลักษณะ “ระลึกย้อนหลังไปถึง เจ้าฟ้าอาภรณ์ เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฎลทิพยวดี เป็นพระชนนี ในรัชสมัย เมื่อชนกคือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้าฯ ยังทรงพระชนม์อยู่นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีทรงมอบเจ้าฟ้ากลาง (สมัยต่อมาได้เฉลิมพระนามเจ้าฟ้ามหามาลา) กับเจ้าฟ้าปิ๋ว เป็นศิษย์สุนทรภู่ขณะบวช เป็นภิกษุอยู่วัดราชบุรณะ เป็นมูลให้สุนทรภู่เมื่อจะจากวัดนั้นไป แต่งเพลงยาวถวายโอวาทเจ้าฟ้าศิษย์สองพระองค์”

การแปลงสารนี้ประสบผลสำเร็จ ไม่ได้ทำให้ผู้พูดถือสา เนื่องจาก เนื้อแห่งเพลงถวายโอวาทที่ท่านอาจารย์ ผู้จะอำลาวัดราชบุรณะแต่งจะจากวัดไปนั้น สำแดงอาลัยอย่างที่สุด…

อย่างไรก็ตาม สถิตย์ ยังระบุว่า หากย้อนดูประวัติต้นสกุลท่านเจ้าพระยาธรรมาฯ ก็จะตระหนักว่า เจ้าพระยาธรรมาฯ ได้ว่าราชการในพระราชสำนัก คือกระทรวงวัง เป็นการเจริญรอยบุรพชนของต้นสกุล แต่ในส่วนคุณวุฒินั้นก็มีเสียงโจษจันว่า เจ้าพระยาธรรมาฯ ยังเป็นรองพระองค์ต้นสกุลอยู่หลายส่วน เมื่อพิจารณาจากสมเด็จกรมพระยาบำราบฯ ได้ใฝ่พระทัยในการศึกษาวิชาแห่งราชตระกูลหลากหลาย แม้แต่วิชาคชกรรมศาสตร์ และยังทรงเรียนดาราศาสตร์จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ อีกด้วย

ผู้เขียนหนังสือ “วิสาสะ” ยังบรรยายเรื่องเสียงเล่าลือว่า เจ้าพระยาธรรมาฯ เป็นผู้รักความเรียบร้อยและความสวยความงามเป็นพิเศษ เสื้อชั้นนอกของท่านส่งไปซักรีดถึงสิงคโปร์ เนื่องจากไม่มีช่างซักรีดในกรุงเทพฯ และเมืองไทยที่ทำความสะอาดและเรียบได้เหมือนช่างรีดสิงคโปร์ พร้อมอ้างว่า ผู้เล่าและผู้ได้ฟังเรื่องที่เล่ากันมายังมีหลงเหลือถึงพุทธศักราช 2500 จำนวนหนึ่ง

แต่เรื่องเสียงลือเกี่ยวกับการซักรีดเสื้อนอกนั้น มีผู้เขียนเหตุจำเป็นนอกเหนือจากเหตุผลเรื่องความต้องการด้านความสวยงามจากบริการซักรีดในต่างประเทศ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ยกตัวอย่างกรณีการส่งผ้าไปซักรีดที่สิงคโปร์ว่า ผ้า เสื้อผ้า หรือเครื่องฉลองพระองค์ของเจ้านายและข้าราชสำนักฝ่ายใน มีคุณภาพและสีสันแตกต่างจากเสื้อผ้าของคนสามัญ นั่นอาจเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นว่ามีฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าซึ่งรีดยากอยู่บ้าง ประกอบกับในสมัยนั้นหาเครื่องมือและผู้ปฏิบัติงานทำความสะอาดผ้าชนิดเฉพาะเจาะจงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้ยากกว่า จึงจำเป็นต้องส่งไปรีดที่สิงคโปร์เป็นบางกรณี

 


อ้างอิง :

สถิตย์ เสมานิล. วิสาสะ. สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1, 2514

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. “การทำความสะอาด เครื่องนุ่งห่มของชาววัง”. ใน ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 26 ฉบับที่ 6 (เมษายน 2548)


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 พฤษภาคม 2562