พลโทบุศรินทร์ ทหารประชาธิปไตย เล่าพิชิตสมรภูมิบางเขนศึกบวรเดชด้วยกระสุนป.ต.อ. 9 นัด

สถานีรถไฟหลักสี่ในอดีต (ภาพจากเหตุการณ์กบฏบวรเดช)

บทความนี้คัดจากบันทึกของ “นายหนหวย” เรื่อง “พลโทบุศรินทร์ ภักดีกุล นายทหารประชาธิปไตย ผู้พิชิตสมรภูมิบางเขนด้วยกระสุน ป.ต.อ. เพียง 9 นัด” ซึ่งลงพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลโท บุศรินทร์ ภักดีกุล ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2532


 

ผมได้รู้จักคุ้นเคยกับพลโทบุศรินทร์ ภักดีกุล ผู้เป็นอาจารย์รุ่นก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยเทคนิคท่านนี้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เป็นการพบในราชการสนามที่โคกกระเทียม ปีนั้นมีการฝึกความพร้อมรบเป็นครั้งแรกของซีโต้ การฝึกครั้งนี้ได้ชื่อว่า “การฝึกธนะรัชต์” เพื่อให้เกียรติแก่ท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายพลสามเหล่าทัพขึ้นรถบัสคันใหญ่รวมกันในฐานะผู้สังเกตการณ์

ผมเป็นผู้สังเกตการณ์ด้านสื่อมวลชน ความจริงผมได้รู้จักท่านฝ่ายเดียวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้วิสาสะพูดจากัน เพราะท่านเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพื่อนผมที่สําเร็จออกเป็นนายทหารจากโรงเรียนนายร้อยเทคนิคได้พูดถึงความเป็นเอตทัคคะในวิชาปืนใหญ่ และเป็นคนสําคัญคนหนึ่งในจำนวนอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาการทหารชั้นสูง ท่านไม่ชอบเป็นข่าวจึงเป็นการยากที่ผู้มีอาชีพทางการข่าวอย่างผมจะเข้าไปวิสาสะจากการติดตามข่าวทางการเมืองและการทหาร ผมรู้ว่าท่านเป็นกําลังสําคัญยิ่งของทหารฝ่ายรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ. 2476 ที่เรียกกันว่า “ศึกบวรเดช”

วันนั้นหลังอาหารกลางวันแบบช่วยตัวเองในสนามแล้วก็เป็นเวลาพัก ผมจึงเลียบเคียงเข้าไปคุยกับท่านสองต่อสอง ขณะนั้นท่านดํารงตําแหน่งเจ้ากรมแผนที่ทหาร สังเกตว่าท่านอารมณ์ดีพอสมควร ผมก็เริ่มสัมภาษณ์เรื่องในอดีตเมื่อครั้งปี 2476 ที่ท่านมียศร้อยโท ป.ต.อ. รุ่นแรกของเมืองไทย ท่านตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

“ผมไม่อยากพูดถึง เหตุการณ์คราวนั้น เพราะมันอัปยศ ทหารไทยรบกันเองโดยเฉพาะผมต้องรบกับน้องชายของผมเอง”

ท่านหมายถึงร้อยโทเอกรินทร์ ภักดีกุล น้องชายร่วมสายโลหิต ผู้สําเร็จวิชาทหารช่างจากเมืองนอกมาสดๆ ร้อนๆ กําลังจะเป็นมันสมองของเหล่าทหารช่าง แต่เวลานั้นโชคชะตาบันดาลให้อยู่ในตําแหน่งผู้บังคับหมวดทหารช่างในกองพันทหารช่างที่ 1 มีที่ตั้งปกติอยู่อยุธยาร่วมกับกองพันทหารช่างที่ 2 ทหารช่างสองกองพันนี้ พันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม นําลงเรือมาขึ้นที่รังสิตอย่างเงียบกริบในคืนวันที่ 11 ตุลาคม 2576 เป็นกําลังส่วนหน้าของฝ่ายปฏิวัติ

หลังจากเข้ายึดดอนเมืองในก่อนรุ่งอรุณของวันที่ 12 แล้ว พันเอก พระยาศรีสิทธิสงครามก็สั่งให้พันตรี หลวงลบบาดาลนำทหารช่างส่วนหนึ่งที่รุกคืบหน้าเข้ามายึดสถานีรถไฟบางเขนทันที นายทหารช่างหนุ่มๆ ที่สําเร็จจากต่างประเทศมาสดๆ ร้อนๆ เพื่อเป็นมันสมองของเหล่าทหารช่างประจําการอยู่ในกองพันนี้ทั้งนั้นคือ ร้อยโทเอกรินทร์ ภักดีกุล ร้อยโท หม่อมหลวงชวนชื่นกําภู กับอีกหลายนาย ซึ่งต่อมาอยู่ในวงการวิศวกรชั้นนําของเมืองไทย

ท่านเล่าให้ฟังว่าหลัง จากท่านสําเร็จวิชาทหารปืนใหญ่จากโรงเรียนโปลีเทคนิคของเบลเยียม ท่านก็กลับมาตุภูมิในปี 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่ถึงปี และก่อนวิกฤตการณ์ทางการเมืองเล็กน้อย นับได้ว่าเป็นนายทหารในระบอบประชาธิปไตยยุคเริ่มแรกและเป็นนายทหารปืนใหญ่คนล่าสุดของกองทัพบกที่สําเร็จจากยุโรปมาสดๆ ร้อนๆ

ปืนใหญ่ที่ท่านเรียนสําเร็จมานั้น คือปืนใหญ่ชั้นสูงต่อสู้อากาศยาน เป็นวิชาใหม่และเหล่าใหม่ที่ยังไม่มีในเมืองไทย แต่อยู่ในความดําริของพันโท หลวงพิบูลสงคราม ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองคนสําคัญ ดังนั้นกองทัพบกจึงได้สั่งซื้อปืนต่อสู้อากาศยาน หรือที่เรียกกันว่า ป.ต.อ. พร้อมรถสายพานติดตั้งปืนมาเสร็จ 10 คันจากบริษัทบาโรเบราน์ตัวแทนขายในกรุงเทพฯ รถสายพานติดตั้ง ป.ต.อ. ขนาด 40 มม. ทั้งรถทั้งปืนเป็นของ บริษัทวิคเกอร์อาร์มสตรอง แต่ทางโรงงานส่งเข้ามาให้รุ่นแรกเพียง 2 คัน ในเดือนสิงหาคม 2476 ก่อนจะเกิดการต่อสู้ระหว่างทหารรัฐบาลกับทหารหัวเมืองในสมรภูมิบางเขน

เมื่อเข้ามาถึง กองทัพบกได้มอบหมายให้ร้อยโทหม่อมหลวงขาบ กุญชร ฝึกด้านการขับและเครื่องยนต์ ท่านเป็นครูฝึกการยิงปืน เวลานั้นยังไม่ได้จัดตั้งหน่วย ป.ต.อ. อาวุธใหม่จึงรวมอยู่ในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ท่านเล่าว่ามีเวลาฝึกอยู่เพียงเดือนเศษ โดยใช้นายทหารที่สําเร็จจาก โรงเรียนนายร้อยมาใหม่ๆ ทําหน้าที่พลยิง ที่จําได้และเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ คือว่าที่ร้อยตรีพิสิษฐ์ ฉายเหมือนวงษ์

ขณะที่คุยกัน ท่านได้ชี้ให้ผมดูรถถังของทหารอเมริกัน 4-5 คัน ที่ขับปุเลงๆ มาจากไหนไม่ทราบเข้ามาร่วมในการฝึกด้วย ท่านพูดยิ้มๆ ว่า “อเมริกันเขาคุยนักว่าเขาเป็นชาติแรกที่เอาปืนใหญ่ขึ้นติดตั้งบนรถถัง ที่จริงแล้วกองทัพไทยทํามาก่อนตั้งสามสิบกว่าปี” แล้วท่านก็หัวเราะ ผมมีเวลาคุยกับท่านเพียงเล็กน้อย เพราะท่านต้องเข้าไปรวมกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ท่านบอกกับผมว่า “วันหลังว่างๆ พบกันใหม่ที่กรมแผนที่ทหาร”

ผมได้พบกับท่านหลายครั้งทั้งในงานราชการและงานสังคมอื่นๆ จนเรียกได้ว่าคุ้นเคย ผมได้รับความรู้ต่างๆ ทั้งด้านการทหารและการเมืองจากท่านมากมาย ล้วนแต่ไม่อาจจะหาเรียนได้จากที่ไหน เพราะท่านมีประสบการณ์ในชีวิตสูงกว่าคนระดับเดียวกับท่าน เท่าที่ผมได้วิสาสะมา ในปีต่อมาผมได้มีโอกาสคุยกับท่านอย่างสนุกสนานเกือบตลอดคืน เพราะพบท่านในรถนอนชั้น 1 ของรถด่วนกรุงเทพฯ-อุบลฯ ผมไปราชการและจองตู้นอนไว้ล่วงหน้า พอขึ้นรถก็พบท่านแต่งเครื่องแบบพลโทนั่งอยู่ในตู้นอนแล้ว มีนายทหารคนสนิทยศพันตรีติดตาม 1 คน ผมแปลกใจจึงเรียนถามก็ได้รับคําตอบว่า ท่านจะไปจังหวัดศรีสะเกษเพื่อนําระฆังใหญ่ใบหนึ่งไปถวาย วัดอะไรผมก็ลืมเสียแล้ว ทราบแต่ว่าอยู่นอกตัวจังหวัดออกไปอีก ผมเรียนถามเพราะแปลกใจที่นาย ทหารยศพลโทตําแหน่งเจ้า กรมสําคัญกรมหนึ่งเดินทางไปทําบุญระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร มีผู้ติดตามเพียงนายทหารคนสนิทเพียงคนเดียว ท่านบอกหน้าตาเฉยว่า “การทําบุญเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ต้องกวนใคร”

ท่านให้คนงานยกระฆัง ใบใหญ่หนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม ขึ้นรถไฟ ชาวบ้านที่ติดต่อให้มาคอยรับที่สถานีเข้าจะยกระฆังลงเอง เสร็จพิธีถวายแล้วท่านก็จะกลับกรุงเทพฯ ในเย็นของวันเดียวกัน โดยรถด่วนขบวนเก่าขาล่อง คุยกันจนดึกท่านก็เอาแซนด์วิชที่เตรียมมาออกมาสู่ผมกินไม่ต้องไปวุ่นวาย รถเสบียงให้คนเกรงใจ เพราะท่านแต่งเครื่องแบบพลโท เมื่อได้ที่แล้วผมก็เรียนถามท่านว่า “เมื่อคราวปะทะกับฝ่ายทหารหัวเมืองที่ทุ่งบางเขนปีศึกบวรเดช ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบเพราะมี ป.ต.อ. 40 มม. ยิ่งกวาดล้างจนวัดเทวสุนทรพังใช่ไหม”

ท่านเล่าอย่างไม่ปิดบัง เพื่อต้องการให้คนรุ่นหลังรู้ความจริง เพราะผมบอกว่าผมจะนําเอาเรื่องราวทั้งหมดไปเขียนเป็นสารคดีออกเผยแพร่ โดยมีใจความดังต่อไปนี้

เมื่อได้ทราบว่าพระองค์เจ้าบวรเดชนำทหารต่างจังหวัดเข้ามายึดดอนเมือง ส่งส่วนล่วงหน้าขึ้นมายึดสถานีบางเขนไว้ ทหารส่วนหน้าเป็นทหารช่างอยุธยา ซึ่งน้องชายของท่านประจําการอยู่ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ท่านได้เข้าประจํากองผสมซึ่งพันโท หลวงพิบูลสงครามตั้งขึ้นโดยฉับพลันรวบรวมทหารทุกเหล่าในกรุงเทพฯ เป็นกําลังหลัก

ทางฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติตามคําขาดซึ่งเป็นข้อเสนอของฝ่ายทหารหัวเมืองได้ จึงตัดสินใจใช้กําลังจากฐานสถานีบางชื่อเข้าตี โดยใช้กําลังทหารราบกองพันที่ 8 ในบังคับบัญชาของพันตรี หลวงอํานวยสงคราม ในเช้าของวันที่ 14 ตุลาคม 2476

เสียงปืนของทั้งสองฝ่ายศึกก้องท้องทุ่งบางเขนได้ยินไปถึงปทุมธานีและอยุธยาบางอําเภอ หลังจากการปะทะไม่กี่ชั่วโมง กองพันนี้ซึ่งรุกคืบหน้าบนรางรถไฟพร้อมกันทั้งสองราง โดยนํารถถังขึ้นบรรทุกรถ ข.ต. แล้วใช้รถจักรดันหลังให้เคลื่อนที่เข้าหาฝ่ายตรงกันข้าม ทหารราบอยู่ในรถคันหลัง มีรถบังคับการกองพันอยู่กลางขบวนเคลื่อนที่ช้าๆ ออกไปจากบางซื่อ มีวิธีเดียวเท่านี้ที่จะรุกคืบหน้าเข้าไปหาฝ่ายตรงกันข้ามในยามที่น้ำเจิ่งท้องทุ่งบางเขน

รุกเข้าไปไม่นานก็ได้รับการต้านทานอย่างหนักด้วยปืนกลของฝ่ายหัวเมืองซึ่งเป็นทหาร ม.พัน 4 สระบุรีขึ้นมาสับเปลี่ยนทหารช่างอยุธยาเมื่อตอนค่ำของวันที่ 13 สักประเดี๋ยวกองพันนี้ก็ถอยกรูดกลับมาสถานีบางซื่อ เพราะพันตรีหลวงอํานวยสงคราม ผู้บังคับกองพันผู้เป็นมือขวาของพันโท หลวงพิบูลสงคราม ถูกกระสุนปืนกลที่ยิงเฉียงเข้ามาจากโบสถ์วัดเทวสุนทร เลยวัดเสมียนนารีไปเล็กน้อย ร้อยตรีเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งอยู่ในรถบังคับการร้องไห้เข้าไปรายงานพันโท หลวงพิบูลสงคราม เมื่อได้เก็บศพพันตรี หลวงอํานวยสงครามอย่างมิดชิดพร้อมกําชับให้ปิดข่าวแล้ว พันโท หลวงพิบูลสงคราม ก็ตัดสินใจเผด็จศึกด้วยอาวุธใหม่ที่เพิ่งตกเข้ามาทันที

ท่านได้เล่าให้ผมฟังถึงสมรรถนะของ ป.ต.อ. วิคเกอร์ อาร์มสตรอง ขนาด 40 มม. รุ่นแรกของกองทัพบกว่า ทันสมัยที่สุดในเวลานั้นเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้ในกองทัพอังกฤษ ใช้กระสุนเจาะเกราะและกระสุนระเบิดยิงได้นาทีละ 200 นัด ทั้งวิถีราบและต่อสู้อากาศยาน ระยะยิงไกล 6 กิโลเมตร กับ 100 เมตร

ส่วนรถสายพานเครื่องยนต์ 87 แรงม้าไต่ลาดได้ 45 องศา จัดได้ว่าเป็นปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพที่สุดแห่งยุคทหารไทยไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย (ปืนที่ลํากล้องตั้งแต่ 20 มม.ขึ้นไป จัดเข้าประเภทปืนใหญ่) ในวันที่ได้รับคําสั่งนั้น ท่านบอกว่าได้ใช้เพียงกระบอกเดียว อีกกระบอกหนึ่งเก็บสํารองไว้ก่อน

เมื่อนํารถไปขึ้นบรรทุกบนรถ ข.ต. ที่หัวลําโพงก็เคลื่อนมาที่สถานีบางซื่อ แล้วเคลื่อนขึ้นไปตามทางรถไฟโดยมีรถจักรดันหลัง รถปืน ป.ต.อ. นี้ใช้ทหารประจํารถเพียง 5 คน รวมทั้งตัวท่านเอง เมื่อเคลื่อนเลยวัดเสมียนนารีไปได้หน่อยหนึ่งก็ตกอยู่ในวิถีกระสุนของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้ยิงโต้ตอบ คงเคลื่อนที่เข้าไปช้าๆ เพราะมีเกราะกําบัง จนในที่สุดก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ารังปืนกลถาวรของฝ่ายตรงข้ามก็คือหน้าต่างโบสถ์วัดเทวสุนทร โดยพาดปืนกลเบาเข้ากับหน้าต่างโบสถ์ยิงต้านทานอย่างเหนียวแน่น เพราะได้ที่กําบังอย่างแข็งแรง เมื่อจําเป็นเช่นนี้ก็ต้องยิงทําลายที่มั่นถาวรของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเผด็จศึกตามคําสั่ง

“ผมได้บอกทหารทุกคนที่อยู่ในรถป.ต.อ. ให้ยกมือไหว้ขอขมาที่จําเป็นต้องยิงโบสถ์และอธิษฐานขออย่าให้ถูกพระประธาน”

ครั้นแล้วท่านก็ทําหน้าที่พลยิงด้วยตนเอง เพราะเป็นการยิงครั้งแรกของปืนชนิดนี้ ท่านได้ใช้กระสุนระเบิดในตับติดๆ กันไปอีก 4 นัด เท่านี้เองฝ่ายตรงข้ามก็ชะงักทันที เพราะเพิ่งเคยเห็นปืนใหญ่ยิงได้รวดเร็วราวกับปืนกลและกระสุนระเบิด แม่นยําเกินกว่าที่เคยพบเห็นมาในเวลาซ้อมยิงปืนใหญ่แบบเก่าที่เคยมีในกองทัพบก

ท่านเล่าต่อไปว่าได้ส่องกล้องดูเห็นคนวิ่งหนีออกไปจากโบสถ์ 4-5 คน ที่หมายต่อไปที่สงสัยว่าจะเป็นที่มั่นของฝ่ายตรงกันข้ามคือสถานีวิทยุต่างประเทศที่หลักสี่ จึงได้ยิงข่มขวัญไปอีก 5 นัด เล็งสูงจากตัวอาคารเพราะเกรงจะได้รับความเสียหาย จากนั้นก็นำทหารราบรุกคืบหน้าไปโดยไม่ได้ยิงอีกเลย

นับว่าเป็นยุทธวิธีที่ค่อนข้างแหวกแนวที่ปืนใหญ่ออกนำทหารราบ และยิงวิถีราบอย่างปืนกล บทบาทของท่านมีเพียงวันเดียวฝ่ายทหารหัวเมืองถอนตัวจากดอนเมืองขึ้นตั้งรับในเทือกเขาดงพระยาเย็นต่อไป ซึ่งตอนนี้หมดภารกิจของท่านแล้ว ตกลงป.ต.อ. รุ่นแรก ของกองทัพบกได้บุกเบิกชัยชนะให้ฝ่ายรัฐบาลด้วยกระสุนเพียง 9 นัดเท่านี้เอง

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2562