
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม พฤษภาคม 2530 |
---|---|
ผู้เขียน | ส.พลายน้อย |
เผยแพร่ |
จากบทความ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ศิลปวัฒนธรรม พฤษภาคม 2530
ตามพระราชประเพณีเดิมของไทย เมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จผ่านพิภพ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ ทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน บัตรหมายในราชการก็ยังขานพระยศอย่างเดิม เครื่องยศบางอย่างเช่นพระเศวตฉัตรก็มีเพียง 7 ชั้น คำสั่งของพระองค์ก็ยังไม่เป็นพระราชโองการและจะเสด็จประทับอยู่เพียงที่ประทับซึ่งจัดถวายไว้ชั่วคราวก่อนเท่านั้น
ความเป็นพระมหากษัตริย์จะสมบูรณ์ถูกต้องตามพระราชประเพณีก็ต่อเมื่อทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว และการเสด็จขึ้นอยู่พระราชมนเทียรก็ต้องประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรเสียก่อน ฉะนั้นการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรจึงทำต่อเนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเลยทีเดียว
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามความหมายเดิมเห็นจะถือเป็นสำคัญอยู่ที่การทรงรับน้ำอภิเษก เพราะชื่อพิธีมีความหมายเช่นนั้น น้ำอภิเษกเป็นน้ำที่ได้พลีกรรมตักมาจากสถานศักดิ์สิทธิ์ในราชอาณาจักรไทยทั้ง 8 ทิศ โดยหมายว่าเป็นการอัญเชิญให้สมเด็จพระมหากษัตริย์ ทรงแผ่พระราชอาณาจักรปกครองประชาชนในทิศทั้ง 8 ในสมัยรัชกาลที่ 2 นิยมใช้น้ำจาก 9 แห่งคือ
- แม่น้ำบางประกง ตักที่บึงพระอาจารย์ แขวงเมืองนครนายก
- แม่น้ำสัก ตักที่ตำบลท่าราบ แขวงเมืองสระบุรี
- แม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่บางแก้ว แขวเมืองอ่างทอง
- แม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ แขวงเมืองสมุทรสงคราม
- แม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย
- น้ำสระเกษ จังหวัดสุพรรณบุรี
- น้ำสระแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี
- น้ำสระคง จังหวัดสึพรรณบุรี
- น้ำสระยมนา จังหวัดสุพรรณบุรี
ในรัชกาลปัจจุบัน การทำน้ำอภิเษกได้ตั้งพิธีทำถึง 18 จังหวัด และใช้น้ำจากสระและบึงถึง 70 กว่าแห่ง โดยถือเอาน้ำที่ใสสะอาด และมีประวัติอันเป็นมงคลหรือเคยใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกมาแต่โบราณเท่านั้น
การถวายน้ำอภิเษกแบบเดิมราชบัณฑิตเป็นผู้ถวาย แต่ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้แทนของปวงชนเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย
อนึ่ง ตามราชประเพณีสรงพระมุรธาภิเษกมี 2 อย่าง คือถ้าวันใดทิศไหนเป็นสิริมงคลแล้ว เวลาสรงสมเด็จพระมหากษัตริย์จะทรงแปรพระพักตร์สู่ทิศนั้น เพื่อสิริมงคลแด่พระองค์นี้อย่าง 1 และถ้าวันสรงจะเป็นวันใดก็ตาม เวลาสรงทรงแปรพระพักตร์สู่ทิศบูรพา ทั้งนี้เพื่อความสวัสดิสุขแก่ประชาชนโดยตรง นี้เป็นอีกอย่าง 1 ในพระราชพิธีสรงพระมุรธาภิเษกรัชกาลปัจจุบัน เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ปรากฏว่าเสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ประทับเหนืออุทุมพรราชอาสน์ แปรพระพักตร์สู่มงคลทิศบูรพา ทั้งนี้เป็นพระราชปฏิบัติเพื่อสวัสดิสุขของประชาชนโดยแท้

เพื่อให้ทราบถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยย่อ จะขอสรุปพอให้ทราบขั้นตอนดังต่อไปนี้ หลังจากสรงพระมุรธาภิเษกและทรงรับน้ำอภิเษกคือน้ำที่ได้พลีกรรมจากที่ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว พระราชครูน้อมเกล้าฯ ถวายนพปฎลมหาเศวตฉัตร พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย เบญจราชกกุธภัณฑ์ ขัตติยราชวราภรณ์ เครื่องขัตติยราชูปโภค และพระแสงราชศัสตราวุธ ตามลำดับต่อไปนี้
- พระสังวาลพราหมณ์ธุรำ ทรงรับแล้ว ทรงสวมพระองค์เฉียงซ้าย
- พระสังวาลนพรัตน์ราชวราภรณ์ ทรงรับแล้ว ทรงสวมพระองค์เฉียงขวา
- พระสังวาลพระนพ ทรงรับแล้ว ทรงสวมพระองค์เฉียงขวา
- พระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงรับแล้ว ทรงสวม
- พระแสงขรรค์ชัยศรี ทรงรับแล้ว ทรงวางไว้บนโต๊ะ
- พระแส้จามรี ทรงรับแล้ว ทรงวางไว้บนโต๊ะ
- พัดวาลวีชนี ทรงรับแล้ว ทรงวางไว้บนโต๊ะ
- พระแส้หางช้างเผือก ทรงรับแล้ว ทรงวางบนโต๊ะ
- พระธำมรงค์รัตนวราวุธ ทรงรับแล้ว ทรงสวมนิ้วหระหัตถ์ขวา
- พระธำมรงค์วิเชียรจินดา ทรงรับแล้ว ทรงสวมนิ้วพระหัตถ์ซ้าย
- พระราชครูสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวาย
- พระแสงฝักทองเกลี้ยง ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- ธารพระกรเทวรูป ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
ต่อจากนี้มีผู้เชิญพานพระขันหมากและพระสุพรรณศรีบัวแฉก ไปทอดบนโต๊ะเบื้องขวาพระที่นั่งภัทรบิฐ กับเชิญพระมณฑปรัตนกรัณฑ์และพระเต้าทักษิโณทกไปทอดบนโต๊ะเบื้องซ้ายพระที่นั่งภัทรบิฐ
- พระแสงจักร ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงตรีศูล ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงหอกเพชรรัตน ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงดาบเชลย ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงธนู ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงดาบโล่ ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงปืนข้ามแม่น้ำสโตง ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป
- พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ทรงรับแล้ว พระราชทานให้ผู้เชิญรับไป

ต่อจากนี้พราหมณ์ถวายวิษณุมนต์ และพระราชครูถวายพระพรชัยมงคลด้วยมคธภาษาแล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาไทยว่า
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระม่อม ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอถวายชัย ขอพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร อันเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในสยามรัฐมหามณฑลนี้ ทรงชำนะทั่วปถพีดล ทรงชำนะเหล่าอริราชดัสกรทุกเมื่อ เทอญฯ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการตอบพระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทยด้วยภาษาไทยว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
พระราชครูวามเทพมุนีรับพระบรมราชโองการด้วยภาษามคธแล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาไทยว่า
“ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระบรมราชโองการ สุรสิงหนาท ประถมธรรมิกราชวาจา ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ”
แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ปกครองราชอาณาจักรไทย โดยทศพิธราชธรรมจริยา
เครื่องราชกกุธภัณฑ์
เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงพระมรุธาภิเษกและทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญเบญจราชกกุธภัณฑ์ จากพระแท่นที่บูชาในพระราชพิธีมณฑลทีละสิ่งมามอบพระราชครูวามเทพมุนี ทูลเกล้าฯ ถวายดังได้กล่าวมาแล้ว (พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ 9 และเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ 1)
เครื่องราชกกุธภัณฑ์แปลว่าของใช้อันเป็นเครื่องหมายความเป็นพระราชาธิบดี เป็นของมีมาแต่โบราณตรงกันบ้าง ต่างกันไปบ้าง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายถึงประเพณีราชาภิเษกอย่างโบราณในอินเดียไว้ใน “สาส์นสมเด็จ” ภาคที่ 20 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อเสด็จสรงราชาภิเษก พระเจ้าแผ่นดินทรงราชาภรณ์ คือ อุณหิส Diadem ภูษาไหม และห่มผ้ารัตกำพล Crimson Mantle แล้วเสด็จขึ้นบัลลังก์ยืนอยู่บนหนังเสือซึ่งปูไว้ข้างหน้าราชสีหาสน์ ขณะนั้นปุโรหิตประกาศ (พระนาม) และพระเจ้าแผ่นดินทรงกระทำสัตย์สาบานที่จะปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แล้วจึงเสด็จขึ้นประทับบรราชสีหาสน์ พวกพระครูพราหมณ์ถวายน้ำมนต์และสวดถวายพร แล้วถวายราชสมบัติ (การถวายน้ำมนต์ ถวายพร และถวายราชสมบัติ ผู้แต่งเรื่องลงพิมพ์ว่าถวายเวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จยืนอยู่หน้าราชสีหาสน์ เมื่อขึ้นประทับบนราชสีหาสน์ตอนนี้ไม่มีว่าทำอะไร จึงเห็นว่าผิด ที่ถูกนั้นต้องประทับราชสีหาสน์ก่อนจึงถวายน้ำมนต์ถวายพร และถวายราชสมบัติ)
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินรับราชสมบัติแล้ว เสด็จลงจากราชสีหาสน์ ออกไปข้างหน้า ขึ้นทรงรถแห่ไปในบริเวณราชวัง (พึงสันนิษฐานว่าเพื่อให้คนอยู่นอกมณฑลพิธีเห็นพระองค์เป็นมูลของเลียบพระนคร) แล้วเสด็จกลับเข้าไปประทับราชสีหาสน์อีกครั้งหนึ่ง (อาจจะเป็นเวลาอื่น) คราวนี้มีพราหมณ์ 5 คนแต่งมฤคจัมขัน Clad in Deer Skins เข้าไปถวายบังคม เจ้าแผ่นดินตรัสทักว่า “ดูกรพราหมณ์” O Brahmana พราหมณ์เหล่านั้นทูลตอบเรียงตัวว่า “พระองค์ก็เป็นพราหมณ์” You are also Brahmana, O King (น่าจะเป็นมูลที่พราหมณ์ถวายสายธุรำในพิธีราชาภิเษกของไทย) ต่อนั้นพวกรัฐมนตรีและบุคคลทั้ง 4 วรรณ (ที่อยู่ในโรงราชพิธี) พากันเข้าไปถวายบังคมทีละพวก ๆ จนหมด (เข้ารูปกับเสด็จออกท้องพระโรงตามประเพณีไทย) เป็นสิ้นกระบวนพิธีราชาภิเษกอย่างอารยันเพียงเท่านี้… พิจารณาดูก็ชอบกลหนักหนา ด้วยพิธีราชาภิเษกที่ไทยทำยังมีหลักเดิมอยู่ทุกอย่าง”

ตามที่ยกมากล่าวนี้มีอุณหิสคือมงกุฎเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่ตรงกับไทยเพียงอย่างเดียว หลักฐานเกี่ยวกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของไทย มีในตำนานเรื่องพระร่วงสุโขทัย ซึ่งกล่าวว่า เมื่อมะกะโทให้ราชทูตนำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระร่วง เพื่อขอพระราชทานนามและเครื่องราชกกุธภัณฑ์นั้น พระร่วงได้พระราชทานนามให้ว่า พระเจ้าวาริหู (ฟ้ารั่ว) กับพระราชทานเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับกษัตริย์คือ พระขรรค์ 1 ฉัตร 1 พระมหามงกุฎ 1 ฉลองพระบาททอง 1 พัดวาลวีชนี 1 มีที่น่าสังเกตอีกแหางหนึ่งคือ แผ่นไม้จำหลักแสดงเครื่องราชกกุธภัณฑ์พบที่จังหวัดสุโขทัย ตรงกลางกระดานมีอักษรขอม อ่านว่าพระบรมราชโองการและมีรูปพระขรรค์ ธารพระกร พระแส้ อุณหิสหรือกรอบหน้า และฉลองพระบาท ซึ่งจะเห็นว่าตรงกับที่กล่าวไว้ในเรื่องพระร่วงข้างต้น
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2326 ต้นรัชกาลที่ 1 เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี พระยาราชสงครามและพระยาอุไทยมนตรี ได้พร้อมกันแต่งเครื่องการพระราชพิธีราชาภิเษกครั้งพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร เมื่อ พ.ศ. 2301 ได้กล่าวถึงเบญจกกุธภัณฑ์ว่ามี “พระมหามงกุฎ 1 พระขรรค์ชัยศรี 1 พัชนีฝักมะขาม 1 ธารพระกร 1 ฉลองพระบาท 1 เป็น 5 สิ่ง”
แต่เครื่องราชกกุธภัณฑ์ดังกล่าวได้สูญหายไปแต่ครั้งเสียกรุง เมื่อ พ.ศ. 2310 นั้นแล้ว
และในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ถึงจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็คงจะจัดทำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไม่ทัน อาจจะถือแบบอย่างครั้งพระเจ้าบรมโกศที่ปราบดาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2276 ซึ่งไม่ถวายเบญจกกุธภัณฑ์ก็ได้ และตลอดรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็คงจะไม่ได้สร้างเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นไว้แต่อย่างใดเลย

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงอัญเชิญของเสนามาตย์ราษฎรทั้งหลาย เสด็จเถลิงถวัยราชสมบัติครอบครองสยามประเทศ ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขป เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 ก็ไม่มีเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ของเก่าอยู่เลย ต้องทรงสร้างขึ้นใหม่อย่างรีบด่วน ดังปรากฏในหมายรับสั่งปี จ.ศ. 1144 (พ.ศ. 2325) ว่า
“เครื่องจะได้ทำขึ้นใหม่ (มี) พระไชยใหญ่ 1 พระไชนน้อย 1 แผ่นทองพระสุพรรณบัฏ 1 พระมหาสังวาล 1 พระมหาสังข์เงิน 1 พระมหาสังข์ทอง 1 พระมหามงกุฎ 1 ฉลองพระบาท 1 พัชนีฝักมะขาม 1 ธารพระกรง่ามนาก 2 ธารพระกรยอดทอง 1 ดอกจำปาทอง 1 ดอกพิกุลเงิน 1 ดอกพิกุลทอง 1 แผ่นทองรองเขียนรูปราชสีห์ 1 พระกลดด้ามเงิน 1 พระเต้าเงิน 1 พระเต้าทอง 1 ตั่งไม้มะเดื่อ 8 ท่อน้ำ (สหัสธารา) ดีบุก 1 พระแสงตรีศูล 1 พระแสงจักร 1 พระเสมาธิปัตย์ 1 พระฉัตรไชย 1 พระเกาวพ่าห์ 1 พระมหาธงไชย (ครุฑพ่าห์) 1 ธงไชยกระบี่ธุช 1 พระเต้าเบญจครรภ์ 1 พระสุวรรณปฤษฎางค์ทอง กลอนอินทรเภรี มโหระทึก พระมณฑปที่สรง 1 พระนามลงแผ่นทอง 1 (รวมเครื่องที่จะได้ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด) 41 สิ่ง”
เข้าใจว่าสิ่งของต่าง ๆ ดังกล่าวนี้จะได้ทำเสร็จเรียบร้อย ละเชิญเข้าถวายในพระราชพิธียรมราชาภิเษก เต็มตามแบบแผนโบราณราชประเพณี เมื่อ พ.ศ. 2328
ในพระราชพงศาวดารได้กล่าวไว้ว่าพระมหาราชครูถวายเบญจกกุธภัณฑ์คือพระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ ธารพระกร พัดวาลวีชนี ฉลองพระบาท นับเป็นเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ชุดใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์

ส.พลายน้อย. (2530, พฤษภาคม). พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเครื่องราชกกุธภัณฑ์. ศิลปวัฒนธรรม. 8(7): หน้า 16-21.