เผยแพร่ |
---|
เรื่องนี้คัดมาจากบันทึกความทรงจำส่วนหนึ่งของ พลโทกาจ กาจสงคราม หรือหลวงกาจสงคราม สมาชิกคนหนึ่งของคณะราษฎร ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และเป็นหัวหน้าคนหนึ่งของคณะรัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 (โดยมีการจัดวรรคย่อหน้าใหม่ เพื่อสะดวกในการอ่าน)
บันทึกตอนนี้มีชื่อตอนว่า “ชะตาไม่น่าเชื่อ” พิมพ์อยู่ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโทกาจ กาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) ปช., ปม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 20 เมษายน พุทธศักราช 2510
ครั้นวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2493 อันเป็นวันที่หลวงกาจฯ ได้รับความแปลกใจอย่างที่สุดในชีวิต เมื่อได้เวลาที่หลวงกาจฯ เข้านั่งโต๊ะทำงานที่วังสวนกุหลาบแล้ว ก็เริ่มทำงานบางอย่างตามปกติ และในขณะที่กำลังทำงานอยู่นั้น มีนายทหารฝ่ายเสนาธิการของหลวงกาจฯ ยศพันโทผู้หนึ่ง ได้เข้าไปรายงานว่า มีคนจะพูดโทรศัพท์ด้วย
หลวงกาจฯ จึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟังแล้วตอบไปว่า “นี่ผมหลวงกาจฯ พูด” เสียงจากสายที่ตอบมาและหลวงกาจฯ จำได้ว่าเป็นเสียงของนายกรัฐมนตรีซึ่งพูดกรอกมาว่า “อ้อ คุณหลวงกาจฯ หรือ? บ่าย 2 โมงวันนี้ขอเชิญมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลหน่อย มีเรื่องทางภาคเหนือที่เกี่ยวกับทหารจีน ควรจะได้ปรึกษากัน” หลวงกาจฯ ได้ตอบไปทันทีว่า “ผมจะไปประชุมตามกำหนดนั้น” เมื่อพูดโทรศัพท์แล้ว หลวงกาจฯ ได้กลับมาทำงานอีกเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวที่จะเข้าประชุมตามนัด
ครั้นได้เวลาอีก 15 นาที จะถึงกำหนดนัดประชุม หลวงกาจฯ กับนายทหารติดตามอีก 2 นาย ก็ขึ้นรถยนต์ออกจากวังสวนกุหลาบตรงไปยังทำเนียบรัฐบาล เมื่อถึงทำเนียบรัฐบาล และแล่นเลยประตูใหญ่เข้าไปแล้ว ก็มีนายตำรวจผู้อยู่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ออกมายืนให้สัญญาณชี้แขนให้รถหลวงกาจฯ แล่นไปทางตึกหลังใหญ่อันเป็นตึกประชุมคณะรัฐมนตรี
หลวงกาจฯ แปลกใจที่ได้เห็นผู้ที่ออกมาให้สัญญาณนั้น แสดงกิริยาตื่นเต้นผิดปกติ ครั้นแล้วรถยนต์หลวงกาจฯ แล่นมาหยุดที่เทียบรถตรงประตูตึกหลังใหญ่ แล้วมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีออกมารับเป็นทีว่าออกมารับรองผู้ที่ถูกเชิญมาประชุม หลวงกาจฯ ถามว่า นัดประชุมไว้บ่าย 2 โมงใช่ไหม คนๆ นั้นตอบว่าใช่ หลวงกาจฯ ก็ลงจากรถเดินเข้าไปในตึกทางซ้ายมือ ด้วยแถวนั้นมีเก้าอี้ยาววางไว้ให้นั่งพักก่อนเข้าห้องประชุมตึกชั้นบน ณ ที่นั้นมีผู้บัญชาการทหารอากาศกับรองอธิบดีกรมตำรวจนั่งอยู่บนม้ายาว 1 ตัวอยู่ก่อนแล้ว อีกด้านหนึ่งบนม้ายาวเหมือนกันมีนายทหารบกยศนายพันเอกนั่งอยู่ พอหลวงกาจฯ เดินเข้าไปถึง คนทั้งสามก็ยืนขึ้นทำความเคารพให้แก่หลวงกาจฯ เมื่อหลวงกาจฯ ออกอุทานปราศรัยแก่คนทั้งสามตามนิสัยของหลวงกาจฯ ที่เคยมา แล้วก็หย่อนตัวลงนั่งบนม้ายาวเคียงกับนายพันเอกทหารบก
รองอธิบดีกรมตำรวจลุกจากที่นั่งเดินไปทางหลังตึกใหญ่สักครู่หนึ่ง ก็นำนายตำรวจประมาณ 20 นาย มือถืออาวุธพร้อม และแต่ละคนแต่งกายสีน้ำเงินวิ่งกรูกันเข้ามาที่หลวงกาจฯ นั่งอยู่ทำนองการเข้าล้อมจับผู้ร้ายสำคัญที่มีความผิดอย่างมหันต์ รองอธิบดีกรมตำรวจถือปืนพกรีวอลเวอร์จ่อตรงศีรษะหลวงกาจฯ แล้วกล่าวว่า “โดยราชการ ข้าพเจ้าขอจับท่านบัดนี้” หลวงกาจฯ ถามว่า “จับเรื่องอะไรกัน” ตอบว่า “จับฐานขบถ” ถามว่า “มีหลักฐานอะไรหรือ” ตอบอย่างสั้นคำเดียวว่า “มี” ถามว่า “ขอให้พาไปพบนายกรัฐมนตรีหน่อยได้ไหม” ตอบ “ไม่ได้” ไม่ยอมให้ไปพบ หลวงกาจฯ ว่า “ถ้าเช่นนั้นจะเอาตัวไปไหนก็เอาไป” เขาบังคับให้หลวงกาจฯ เดินออกจากตึกใหญ่ไปขึ้นรถยนต์ตำรวจ แต่ก่อนออกเดินไปจากม้านั่งนั้น มีคำสั่งให้หลวงกาจฯ มอบอาวุธปืนพกที่มีอยู่ในกระเป๋ากางเกงให้แก่ตำรวจ เมื่อเดินมาถึงประตูจวนจะขึ้นรถยนต์ของตำรวจ ก็ปรากฏว่านายทหารติดตามหลวงกาจฯ อีก 2 นาย อีกทั้งคนขับรถยนต์ของหลวงกาจฯ อีก 1 นายก็ได้ถูกจับ และคุมตัวขึ้นรถตำรวจไปจากทำเนียบรัฐบาลในขณะนั้นเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า ณ บัดนี้หลวงกาจฯ ผู้มีตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ได้ถูกจับเป็นนักโทษไปแล้ว และอยู่ในความควบคุมของนายตำรวจหลายคนถืออาวุธพร้อม
หลวงกาจฯ ถูกคุมตัวด้วยนายตำรวจ 5-6 นายบนรถยนต์ของตำรวจ กับมีรถยนต์บรรทุกตำรวจผู้ถืออาวุธพร้อม นำไปทั้งทางหน้าและคุมตัวตามไปทางหลังอีกหลายคันรถ รถเหล่านั้นพาตัวหลวงกาจฯ ไปขังไว้ที่ตึกใหญ่ในวังปารุสกวันชั้นบน ที่ประตูห้องจัดให้มีนายสิบตำรวจถือปืนกลมือ กับจัดให้มีนายตำรวจถือปืนพกยืนยามรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา และทำการรักษานักโทษผู้นี้ไว้อย่างเคร่งครัด และเป็นธรรมดาของห้องบนตึกที่เคยจัดให้นายสิบตำรวจนอน ก็ย่อมต้องสกปรกมาก มีตู้เตียงที่เก่าแก่ชำรุดวางไว้อย่างเกะกะไปหมด ถัดห้องนอนออกไป มีห้องน้ำแต่ชำรุด น้ำไม่เดิน อ่างล้างหน้าเกรอะกรังไปด้วยความสกปรก ห้องน้ำทั้งห้องปกคลุมและฉาบทาด้วยความโสโครกเป็นริ้วรอย ถังเปลอาบน้ำขนาดใหญ่ใส่น้ำไว้เต็มแทนตุ่ม มีตะไคร่น้ำจับภายในเขียวไปทั้งอ่าง เวลาจะใช้น้ำต้องตักออกจากถังด้วยขันที่สกปรกอีกเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจได้ขนเอาตู้ เตียง มุ้งใหม่ ที่นอนใหม่มาแทนที่ แต่มุ้งสั้นกว่าความสูงของเตียง ทำให้ยุงบินลอดเข้ามาตามตีนมุ้งได้สะดวก ส่วนเตียงเก่าหลายเตียงกับตู้ใส่หนังสือ 2-3 ตู้ได้เก็บขนออกไป
3 ชั่วโมงให้หลังจากที่ได้ส่งตัวหลวงกาจฯ มาขังไว้ที่ห้องนั้น ก็มีผู้มาตามตัวหลวงกาจฯ ให้ไปพบกับรองอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งอยู่ที่ห้องทำงานชั้นบนของตึกในวังปารุสกวันเหมือนกัน เมื่อพบกันแล้ว หลวงกาจฯ ถูกถามว่า “จะไปอยู่ที่ใดในต่างประเทศ” หลวงกาจฯ ตอบ “แล้วแต่จะให้ไป ไปอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส อเมริกา ปีนัง หรือสิงคโปร์ก็ได้” รองอธิบดีกรมตำรวจหันไปบอกแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ที่มานั่งคอยรับคำสั่งอยู่ ณ ที่นั้น พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ออกหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศอีก 1 นายว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศจัดการออกหนังสือเดินทางให้ และบอกด้วยว่า ได้รับคำสั่งมาจากนายกรัฐมนตรีให้มาสั่งการเรื่องนี้เช่นกัน คนทั้งสองรับคำสั่งแล้วก็คงนั่งฟังต่อไปอีก ด้วยยังไม่มีคำสั่งให้ออกไปจากที่นั้น เขาก็คงต้องนั่งตัวแข็งต่อไปอีกก่อน
หลวงกาจฯ ได้ถามขึ้นว่า “จะขอพบครอบครัวก่อนออกเดินทางได้ไหม” ตอบว่า “ได้” หลวงกาจฯ ถามอีกว่า “จะให้ออกเดินทางเมื่อใด” ตอบ “พรุ่งนี้เช้า” ถามว่า “จะขอเลื่อนการออกเดินทางไปมะรืนนี้ได้ไหม” ตอบ “ไม่ได้” ถามว่า “ทำไมจึงไม่ได้” ตอบ “ท่าน [หลวงกาจฯ] จะฆ่าผม [รองอธิบดีกรมตำรวจ] ตาย จึงยอมไม่ได้” พูดเพียงเท่านี้ก็มีคำสั่งให้นายตำรวจคุมตัวหลวงกาจฯ กลับไปยังห้องที่ควบคุม หลวงกาจฯ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตลอดจนถึง 20.00 นาฬิกา เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้พบกับครอบครัวตามที่ได้ตกลงไว้ ก็ถามนายตำรวจว่า “จะให้พบครอบครัวได้เมื่อใด” นายตำรวจจึงไปถามรองอธิบดีกรมตำรวจตามคำถามของหลวงกาจฯ แล้วกลับมาแจ้งแก่หลวงกาจฯ ว่า “รองอธิบดีกรมตำรวจได้จัดให้มีผู้ไปแจ้งแก่ครอบครัวหลวงกาจฯ ทุกคนแล้ว แต่ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ยอมมา ยิ่งกว่านั้นบางคนกลัวมากก็หนีไป ตามตัวที่บ้านไม่พบ”
หลวงกาจฯ จึงเขียนโน้ตลงบนแผ่นกระดาษขนาดเล็ก บอกแจ้งไปถึงครอบครัวว่าขอให้มาพบ และแจ้งด้วยว่า ถ้าไม่มา ก็จะไม่ได้เห็นกันอีกแล้ว ด้วยเขาจะส่งตัวออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า จะไปยังที่ใดก็ไม่รู้ จดหมายเขียนด้วยเศษกระดาษแผ่นนี้ได้ไปถึงครอบครัวหลวงกาจฯ ทุกคน หลังจากนั้นมาประมาณอีก 1 ชั่วโมง เขาเหล่านั้นก็ได้ไปรอพบกับหลวงกาจฯ อยู่ในห้องรับแขกของตึกใหญ่วังปารุสกวันชั้นล่าง
เมื่อได้รับคำสั่งอนุญาตให้เข้าไปพบกับหลวงกาจฯ ที่ห้องขังชั้นบน ครอบครัวหลวงกาจฯ ก็ได้ขึ้นไปพบทีละคน และเมื่อเขามาพบกับหลวงกาจฯ แล้วก็ตั้งต้นร้องไห้กันเป็นการใหญ่ กรรมใดจะทำเข็ญให้แก่ชีวิตไปยิ่งกว่าหรือเสมอกันกับเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นไม่มีอีกแล้ว หลวงกาจฯ ฝืนใจสั่งเสียกิจการส่วนตัวไปทั้งๆ ที่พูดอะไรกันไม่รู้เรื่องแล้ว และมอบลูกกุญแจให้คนสนิทเพื่อไปเปิดเอาทรัพย์หลายอย่างที่เก็บไว้ในตู้เอกสาร และลิ้นชักโต๊ะทำงานในท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ อันเป็นที่ทำงานและที่พักนอนของหลวงกาจฯ และขอให้นำของเหล่านั้นมามอบให้ เพื่อจะได้มอบให้แก่ครอบครัวนำไปเก็บรักษาไว้
ทันใดนั้นผู้ที่เคยรับใช้หลวงกาจฯ ในวังสวนกุหลาบและได้มาพบกับหลวงกาจฯ พร้อมกับครอบครัวได้แจ้งว่า บรรดาตู้เอกสารและสิ่งของหลายอย่างได้ถูกเจ้าหน้าที่เก็บขนเอาไป บางอย่างก็คงทิ้งไว้ที่นั่น แต่ทางการได้ไล่คนที่ทำงานอยู่ในท้องพระโรงอันเป็นที่ไว้ของของหลวงกาจฯ ออกไปหมด ไม่ยอมให้ใครอยู่แล้วจัดยามรักษาการณ์ขึ้นรักษาไว้โดยรอบ ไม่ยอมให้ใครเข้าไปในนั้น ส่วนบรรดาสิ่งของที่เก็บขนเอาไปนั้น ไม่ทราบว่าจะนำไปไว้ ณ ที่แห่งใด ดังนั้นเป็นอันว่า ของทั้งหมดที่เก็บไว้ในวังสวนกุหลาบไม่ได้อะไรคืนมา นอกจากเสื้อกางเกงสากลสีขาว 2 ชุด กางเกงแพรกับเสื้อชั้นใน
ในขณะที่หลวงกาจฯ พบกับครอบครัวนั้น มีนายทหารหลายนายที่เป็นสมาชิกรัฐประหารด้วยกันได้มาพบกับหลวงกาจฯ ด้วย รองผู้บัญชาการกองตำรวจสันติบาลได้นำเสื้อโอเวอร์โค้ตเก่าใช้แล้ว 1 ตัว มีผู้แจ้งแก่หลวงกาจฯ ในภายหลังว่า เป็นเสื้อที่ยืมมาจากนายทหารผู้หนึ่ง กับเสื้อสากลสักหลาดสีน้ำเงินแก่ 1 ชุด ตัดใหม่ ดูเหมือนเพิ่งจะนำมาจากร้านตัดเสื้อในเวลานั้น ที่ได้สั่งให้ตัดล่วงหน้าตามแผนการจะเนรเทศหลวงกาจฯ ทั้งนี้ได้นำมามอบให้แก่หลวงกาจฯ ในห้องขังคืนวันนั้น เพื่อให้นำไปใช้ในต่างประเทศ ผู้นำเสื้อมาส่งได้แจ้งแก่หลวงกาจฯ ด้วยว่า ทางการจะส่งตัวหลวงกาจฯ ไปอยู่ฮ่องกง พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าจะต้องออกเดินทางจากที่นี้ (วังปารุสกวัน)
นอกนั้นยังมีข้าราชการฝ่ายการเมืองผู้หนึ่งมาพบกับหลวงกาจฯ และดูเหมือนจะมึนเมาจัดอยู่ด้วย เขาได้ยื่นรายการแบบกรอกข้อความมาให้หลวงกาจฯ เขียนเรื่องเจ้าหนี้และลูกหนี้ตลอดจนเงินของคณะรัฐประหาร ที่หลวงกาจฯ ไปรับมาจากกระทรวงการคลัง ในวันที่คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นั้นว่าเหลือเท่าใด ให้เขียนไว้ในแบบพิมพ์สำหรับเขียนข้อความนั้น อีกทั้งแจ้งว่า ถ้าหลวงกาจฯ ออกเดินทางไปแล้ว จะมอบให้ใครรับหน้าที่นี้แทนสืบต่อไปอีก หลวงกาจฯ ได้เขียนให้ตามคำบอกนั้น แต่จะบกพร่องขาดเกินประการใดไม่ทราบ เพราะรีบด่วนและมีเวลาน้อยเหลือเกิน
นับตั้งแต่ถูกจับมาจนถึง 1 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น หลวงกาจฯ ไม่รับประทานอาหารอย่างใดเลย น้ำก็ไม่ได้อาบ ไม่ได้พักหลับนอน พอจวน 2 นาฬิกา เมื่อร่างกายทนต่อไปอีกมิได้แล้ว ก็เอนหลังลงบนเตียงที่มียุงหลายสิบตัวอยู่ในนั้น พอได้งีบหนึ่งก็มีนายตำรวจมาปลุกว่า จวนจะตี 6 แล้ว ให้ตื่นขึ้นล้างหน้าเถิด หลวงกาจฯ จึงลุกขึ้นไปล้างหน้าในห้องน้ำ ซึ่งต้องมีนายสิบตำรวจไปยืนเฝ้า หลวงกาจฯ กลับมาแต่งกายแบบสากลสีเขียว ไม่มีหมวก แล้วก็ลงมาขึ้นรถที่เทียบรถชั้นล่าง รถตำรวจที่หลวงกาจฯ นั่ง มีนายตำรวจอาวุธพร้อมนั่งควบคุม 3 นาย กับมีนายตำรวจนอกเครื่องแบบผู้จะควบคุมไปส่งถึงฮ่องกงอีก 1 นาย
ในรถคันที่หลวงกาจฯ นั่ง ยังมีเจ้าพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ถูกเรียกตัวมาพบกับหลวงกาจฯ เพื่อทำบัญชีหนี้สินกับหนังสือมอบอำนาจที่จะให้ธนาคารจัดการทรัพย์สมบัติที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร ซึ่งได้จัดทำไปแล้วในคืนวันนั้น และเขาต้องขออนุญาตจากรองอธิบดีกรมตำรวจที่จะติดตามหลวงกาจฯ ไปจนถึงดอนเมืองเพื่อรับใบมอบฉันทะรับเงินเดือนค้างของหลวงกาจฯ ด้วยเขียนในคืนนั้นไม่ทัน เจ้าพนักงานธนาคารผู้นี้เป็นสมาชิกคณะรัฐประหาร 90
ขบวนรถตำรวจที่ไปส่งหลวงกาจฯ ในเช้าวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2493 นำวิ่งอยู่ข้างหน้าข้างหลังข้างละ 3-4 คัน มีนายตำรวจถืออาวุธพร้อมนั่งประจำอยู่ทุกคัน คันละหลายคนจนเต็มรถ ตัวรองอธิบดีกรมตำรวจนั่งไปกับรถจี๊ปคันที่สองที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ขณะที่รถแล่นออกจากวังปารุสกวันนั้น หลวงกาจฯ นึกเฉลียวใจอยู่บ้างเหมือนกันว่า ถ้ารถแล่นเข้าย่านบางเขนและหลักสี่แล้ว อาจมีกองโจรกองหนึ่งกองใดเข้ามาทำทีแย่งตัวหลวงกาจฯ แล้วถึงต้องทำการยิงต่อสู้กันอย่างรุนแรง ดุจเคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นมาแล้วก็ได้ แต่เมื่อมันเป็นสิ่งนอกอำนาจ หลวงกาจฯ ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ได้แต่นั่งใจลอยและความเศร้าสุดที่จะเดาว่าเขาจะพาไปไหนแน่
ในคืนที่หลวงกาจฯ ต้องขังอยู่บนตึกวังปารุสกวันนั้น ปรากฏว่า ข้าราชการฝ่ายการเมืองผู้นำแบบพิมพ์มาให้หลวงกาจฯ กรอกข้อความลงนั้น จะเป็นความคะนองด้วยฤทธิ์เหล้าหรือจะเป็นด้วยมีจิตใจเป็นกระไรไม่ทราบ เขาได้ใช้เท้าเตะกระเป๋าเดินทางของหลวงกาจฯ ที่คนรับใช้ของหลวงกาจฯ นำมาส่งและกำลังคุมของนั้นอยู่ที่ตึกชั้นล่าง เพื่อรอแล้วจะมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจรับไว้มอบให้แก่หลวงกาจฯ อีกทอดหนึ่ง การเตะกระเป๋าเดินทางแล้วยังได้ออกอุทานวาจาอย่างคนเมาจัดว่า “มันยังจะเอาไปแต่งโก้ที่ฮ่องกงอีกเหรอะ”
ส่วนทางที่ตั้งกองทัพที่ 1 ได้มีการแพร่ข่าวให้ทหารทราบโดยทั่วไปว่า “หลวงกาจฯ หนีไปแล้ว” ถนนหลวงลานพระบรมรูปทรงม้าได้มีรถถังของตำรวจติดอาวุธหนักพร้อมออกรักษาการณ์อย่างเคร่งเครียดตลอดคืน ฝ่ายทหารบกทุกกองพันและหน่วยทหารได้มีการเตรียมพร้อมอย่างเคร่งครัดด้วยทุกแห่ง สรุปความว่า วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2493 ทางการได้ทำการจับกุมนายพล ผู้ครองตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบกมาขังไว้โดยไม่มีการสอบสวน ไม่ได้ปรากฏถึงความผิดที่ทำขึ้น แล้วก็ได้จัดการเนรเทศออกไปยังต่างประเทศ อันเป็นการปฏิบัติไปโดยไม่มีใครทราบว่า เพราะมีความจำเป็นทางการเมืองหรือการทหารประการใดบ้าง
หนึ่งวันให้หลังจากเวลาที่หลวงกาจฯ ถูกจับ และได้ถูกส่งออกเดินทางไปแล้ว หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในกรุงเทพฯ ต่างก็ลงข่าวนี้อย่างเกรียวกราว และก็ลงไปตามแต่จะนึกออก ด้วยทางการไม่ยอมประกาศให้ราษฎรทราบว่า หลวงกาจฯ มีความผิดประการใด และเหตุใดจึงต้องเนรเทศออกไปยังต่างประเทศถึงอย่างนั้น ประชาชนพลเมืองต่างก็มีความตระหนกตกใจในความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ และมีผู้เกิดความเศร้าสลดอย่างผิดปกติไปอีกหลายวัน ว่าอำนาจแห่งทางการที่ทำแก่หลวงกาจฯ ครั้งนั้น เป็นการร้ายแรงเกินขอบเขตไปบ้างหรือไม่
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้พากันค้นคว้าหาข่าวที่เกี่ยวกับการจับและการเนรเทศหลวงกาจฯ มาลงเป็นข่าวนึกเอาเองอย่างน่าตื่นเต้นด้วยตัวหนังสือขนาดเขื่องและลงต่อมาอีกหลายวัน
ข้อมูลจาก :
“เมื่อ รอง ผบ.ทบ. ถูกจี้กลางทำเนียบรัฐบาล” ใน ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2549.
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในระบบออนไลน์เมื่อ 27 มกราคม 2562