ผู้เขียน | ผจงรักษ์ ซำเจริญ |
---|---|
เผยแพร่ |
“ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก” เสียงม้วนฟิล์มของเครื่องฉายหนังกำลังฉายภาพลงบนจอขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านในพื้นที่โล่งแจ้ง มนต์เสน่ห์ของหนังกลางแปลงนอกจากจะมีเครื่องฉายหนังจอภาพและนักพากย์หนังสดแล้ว มนต์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งคือวิธีการรับชมหนังกลางแปลงที่ต้องชมในพื้นที่โล่งกว้างปูเสื่อหรือผ้าไว้สำหรับนั่งสำหรับนอนพร้อมด้วยของขบเคี้ยวอย่างถั่วแระหรืออ้อยควั่นและเสียงพูดคุยกันของครอบครัวเพื่อนหรือคู่รักที่มานั่งตากน้ำค้างเพื่อรับชมหนังกลางแปลง
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวของหนังกลางแปลง ผู้เขียนขอเล่าย้อนไปถึงการเข้ามาของภาพยนตร์ในสยามเสียก่อน ภาพยนตร์เริ่มเข้ามาในสยามตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยคณะละครเร่ชาวฝรั่งนามว่า เอส จี มาร์คอฟสกี (S.G. Marchovsky) ได้นำภาพยนตร์ฝรั่งเข้ามาจัดฉายสู่สายตาสาธารณะชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2440 ณ โรงละครหม่อมเจ้าอลังการนับตั้งแต่นั้นมาภาพยนตร์ได้กลายเป็นมหรสพใหม่ ด้วยความนิยมในการรับชมภาพยนตร์ที่เพิ่มมากขึ้นผนวกกับข้อจำกัดในเรื่องการฉายภาพยนตร์ที่ต้องฉายในสถานที่ปิด อาทิ โรงมหรสพ โรงแรม หรือโรงละครทำให้คณะหนังเร่เริ่มปรับและดัดแปลงรูปแบบการฉายหนังเพื่อให้คนดูเข้าถึงได้มากขึ้น จึงนำมาสู่การฉายหนังกลางแปลงมหรสพบันเทิงยามค่ำคืนของชาวสยาม
หนังกลางแปลงเริ่มเฟื่องฟูขึ้น ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก แต่ด้วยชุดอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน โดยสหรัฐอเมริกายึดนโยบายเสรีนิยมประชาธิปไตยซึ่งตรงข้ามกับสหภาพโซเวียตที่ยึดอุดมการณ์สังคมนิยม แต่ละค่ายต่างพยายามแผ่ขยายอิทธิพลของตนเข้าสู่ประเทศต่างๆ โดยให้ความช่วยเหลือและพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ในช่วงระยะเวลานี้สหรัฐอเมริกามุ่งหวังให้ไทยเป็น “ป้อมปราการต่อต้านคอมมิวนิสต์” จึงให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร
ส่งผลให้หนังกลางแปลงกลายเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ภาครัฐและภาคเอกชนต่างใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ตนเอง โดยจะเห็นได้จาก หน่วยเคลื่อนที่ประชาสัมพันธ์ที่โฆษณาข่าวสารจากรัฐและหนังขายยาที่โฆษณาและขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทตามหมู่บ้านและจังหวัดต่างๆ เป็นต้น
ในด้านของชื่อที่ใช้เรียกหนังกลางแปลงไม่ว่าจะเป็น “หนังล้อมผ้า/รั้ว หนังเร่ หนังขายยา หน่วยประชาสัมพันธ์” ในแต่ละชื่อที่ใช้เรียกหนังกลางแปลงนั้นต่างแสดงลักษณะเฉพาะ เช่น ลักษณะเด่นของหนังล้อมผ้าคือการฉายหนังโดยล้อมผ้าหรือสังกะสีรอบๆ จอหนังและเก็บค่าเข้าชมจากคนดู หรือลักษณะเด่นของหนังขายยา คือ การฉายหนังให้ชมฟรีสลับกับการขายสินค้า เป็นต้น แม้จะมีหลากหลายชื่อเรียก แต่ก็มีอยู่ 3 สิ่งที่เหมือนกันคือ หนึ่ง หนังกลางแปลงที่ต้องฉายในเวลากลางคืน สอง อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉายหนังได้แก่ จอผ้าสีขาวขนาดยักษ์ ลำโพงกระจายเสียง และเครื่องฉายหนัง และสาม หนังและนักพากย์หนังอันเป็นของคู่กันกับหนังกลางแปลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนังกลางแปลงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแม้บางสิ่งบางอย่างจะเริ่มหายไปอย่างการพากย์สดหรือการฉายหนังด้วยเครื่องฉายหนัง 16 มม. หรือ 35 มม. ก็ตาม
ในปัจจุบันหนังกลางแปลง มหรสพบันเทิงยามค่ำคืนหรือมหรสพแห่งท้องทุ่งค่อยๆ หายไป เหลือเพียงไม่กี่หน่วยเท่านั้นที่ยังคงจัดฉายอยู่ กลายเป็นเพียงมหรสพเพื่อใช้ในการแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือฉายตามงานวัด ทั้งนี้สาเหตุหลักก็มาจากความเจริญทางเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของโรงภาพยนตร์ มือถือ แท็บเล็ท ฯลฯ ที่ทำให้คนสมัยใหม่ไม่มีความจำเป็นต้องออกไปนั่งตบยุงดูหนังกลางท้องไร่ท้องนา ซึ่งก็ดูเหมือนจะโดนตึกรามบ้านช่อง หรือความเป็นเมืองกลืนเข้าไปเรื่อยๆ อีกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าความบันเทิงรูปแบบใหม่นี้จะอำนวยความสะดวกสบายให้กับเราได้มากขึ้นจริง แต่ก็นึกอดเสียดายบรรยากาศการนั่งล้อมวงกับคนรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เคี้ยวขนมของกิน พร้อมดูหนังกลางแปลงที่โล่งกว้างให้คู่รัก หรือครอบครัวได้นั่งพิงกันโดยไม่มีเก้าอี้หรือสิ่งใดมาขวางกั้น ไม่ได้
อ้างอิง :
โดม สุขวงศ์, และ สวัสดิ์ สุวรรณปักษ์. ร้อยปีหนังไทย, (กรุงเทพฯ: ริเวอร์บุ๊คส์, 2545)
โดม สุขวงศ์, คู่มือนิทรรศการหนึ่งศตวรรษภาพยนตร์ไทย 2440-2540 : A century of Thai cinema exhibition’s handbook, (นครปฐม : หอภาพยนตร์ องค์การมหาชน, 2556)
จำเริญลักษณ์ ธนะวังน้อย, “ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยตั่งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2,” (ม.ป.ท: ม.ป.ป., 2541)
นัยนา แย้มสาขา, “นโยบายการส่งเสริมภาพยนตร์ของรัฐบาลไทย,” (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540)
ปาริชาต จันทนะเปลินม, “กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อดึงดูดผู้ชมของธุรกิจหนังกลางแปลง 999 บรรเจิดภาพยนตร์,” (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, สาขานิเทศศาสตร์ธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 2549)
มานิตย์ วรฉัตร. ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง (ศูนย์อนุรักษ์ภาพยนตร์ย้อนยุค). สัมภาษณ์. พิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง (ศูนย์อนุรักษ์ภาพยนตร์ย้อนยุค) จังหวัดลำปาง. 7 กรกฎาคม 2559.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 พฤษภาคม 2561