เปิดสภาพ “คุกสยาม” เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน แออัดยัดเยียดน่ากลัวแค่ไหน?

ภูเขาทอง วัดสระเกศ คุกสยาม
ภูเขาทอง วัดสระเกศ ในอดีตวัดนี้ใช้เป็นที่เผาศพนอกกำแพงเมืองพระนคร (ภาพจากหนังสือ ประชุมภาพประวัติศาสตร์ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

บาทหลวงต่างชาติบันทึกสภาพ “คุกสยาม” เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน “นักโทษนอนเรียงเป็นตับ แล้วใช้โซ่ยาวร้อยห่วงเหล็กที่ขาล่ามไปผูกไว้กับเสา”

ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสยามด้วยวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ทั้ง บาทหลวง มิชชันนารี พ่อค้า ฯลฯ

หนึ่งในนั้นคือ พระสังฆราชฌัง-บัปติสต์ ปาลเลกัวซ์ (Bishop Jean-Baptiste Pallegoix) หรือ “บาทหลวงปาลเลกัวซ์” ชาวฝรั่งเศส

ท่านเดินทางมาสยามเมื่อ พ.ศ. 2372 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ดำรงตำแหน่งมุขนายกมิสซัง เดอ มาลโลส์ เจ้าคณะเขตประจำสยาม และพำนักอยู่ในสยามรวมทั้งสิ้น 24 ปี ก่อนเดินทางกลับฝรั่งเศสในราว พ.ศ. 2396 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)

ระหว่างอยู่ในสยาม ท่านได้พบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวสยาม เมื่อกลับฝรั่งเศสแล้วก็ได้รวบรวมเขียนเป็นบันทึกขึ้นมาในชื่อ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ซึ่งเรื่องที่ท่านเล่าก็ไม่เว้นแม้แต่เรื่อง “คุก”

“คุกสยาม” เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน สภาพเป็นอย่างไร?

ย้อนไปสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การลงโทษผู้กระทำความผิดมักทำในที่สาธารณะ และมักทำด้วยความรุนแรง เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

บาทหลวงปาลเลกัวซ์ เล่าเรื่องนี้ไว้ใน “เล่าเรื่องกรุงสยาม” พูดถึงบทลงโทษในความผิดขั้นรุนแรง คือ การประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์ หรือความผิดฐานกบฏ ทั้งเมื่อเสียชีวิตแล้วซากศพก็ยังถูกนำไปทารุณต่อ

“เจ้าพนักงานจะจัดการนำตัวไปประหารชีวิตเสียที่ตำบลหนึ่งเรียกว่า สำเหร่ ทางตอนใต้ของนคร ณ ที่นั้นเขาจะตัดศีรษะนักโทษเสียด้วยดาบ หรือไม่ก็เอามัดเข้าไว้กับเสาแล้วใช้หอกแทงจนตาย

หลังจากนั้นศพจะถูกสวนทวารหนักเสียบเอาขึ้นหยั่งตั้งไว้เป็นเหยื่อแก่แร้งกา ถ้าคนกบฏเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จะไม่ทำให้เลือดตกยางออก แต่จะนำเข้ากระสอบหนังเย็บปากเอาก้อนหินใหญ่ใส่ลงไปด้วยแล้วนำไปถ่วงกลางแม่น้ำเสียทั้งเป็น”

ประหารชีวิต นักโทษประหาร ลานประหาร คุกสยาม
เพชฌฆาตกำลังลงดาบนักโทษประหารรายหนึ่ง ที่วัดโคก (ภาพจากหนังสือ “กรุงเทพในอดีต” โดย เทพชู ทับทอง )

ส่วนคุกที่ใช้คุมขังนักโทษ นอกจากจะเป็นที่จองจำอิสรภาพ บาทหลวงปาลเลกัวซ์ยังบอกอีกว่า มีความน่ากลัวอย่างยิ่ง

“กล่าวกันว่าเรือนจำหรือคุกนั้นเป็นสถานที่อันน่ากลัวมาก เป็นห้องขังมืดๆ ซึ่งมีนักโทษแออัดกันอยู่เป็นจำนวนร้อยๆ เคราะห์ดีที่ใช้อาศัยหลับนอนแต่เฉพาะกลางคืนเท่านั้น ส่วนตอนกลางวันถูกจ่ายไปทำงาน เช่น เลื่อยไม้ ขนอิฐขนทราย ทำทางหรือทำงานหนักอย่างอื่นๆ และเขาให้อาหารเพียงข้าวนิดเกลือหน่อยเท่านั้น

พอตกค่ำก็พากันเข้าคุก เขาให้นักโทษนอนเรียงเป็นตับ แล้วใช้โซ่ยาวร้อยห่วงเหล็กที่ขาล่ามไปผูกไว้กับเสา ใส่กุญแจหอยโข่งดอกใหญ่ การถูกล่ามไว้ดังนี้ทำให้พลิกตัวไม่ได้ ยามมีทุกข์ก็ต้องนอนถ่ายหนักถ่ายเบาและจมอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรุ่งเช้า

ระลึกถึงว่าคนเราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในบรรยากาศอันหมักหมมโสโครกและมีความร้อนตั้ง ๓๐-๔๐ องศาเช่นนั้นแล้ว ยังซ้ำแถมการทะเลาะทุ่มเถียง การด่าทอแช่งชักหักกระดูก คำหยาบโลน และการปฏิบัติอย่างทารุณของผู้คุมมีศิลปะในการทรมานนักโทษเพื่อรีดทรัพย์เข้าด้วยอีกเล่า เหล่านี้คงเป็นเพียงส่วนน้อยที่เราจะพิจารณาเห็นสภาพของคุกได้”

นักโทษรายหนึ่งที่ถูกคุมขังราว 20 วัน ได้บรรยายความรู้สึกให้บาทหลวงปาลเลกัวซ์ฟังว่า “หลวงพ่อครับ ผมไม่เชื่อเลยว่านรกนั้นจะร้ายไปยิ่งกว่าคุก”

นั่นคือสภาพ “คุกสยาม” ในยุครัชกาลที่ 3 หรืออาจต่อเนื่องถึงช่วงต้นรัชกาลที่ 4 ที่บาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้รับรู้ ต่อมาเมื่อสยามติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น ก็มีการปรับปรุงและพัฒนาที่คุมขังให้มีสภาพดีขึ้นจากเดิม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ภัทรนิษฐ์ สุรรังสรรค์. รัฐสยดสยอง. กรุงเทพฯ: มติชน. พิมพ์ครั้งที่ 3, 2566.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2568