ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ปัจจุบันหน่วยงานทหารทั้ง 3 กองทัพ (กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ) ล้วนขึ้นตรงกับ “กระทรวงกลาโหม” หากก่อนหน้านั้นทหารยังสังกัดมูลนายตามแบบโบราณ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเริ่มการฝึกหัดทหารแบบตะวันตกในไทย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มมีการปกครองบังคับบัญชาเป็นกรม กองพัน กองร้อย หมวด หมู่ โดยเริ่มจาก “กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” เป็นกรมแรก แล้วจึงขยายออกไปเป็นหน่วยงานในกรมทหารบก 7 กรม (กรมทหารราบ 4 กรม, กรมทหารปืนใหญ่ 1 กรม, กรมทหารช้าง 1 กรม, กรมฝีพาย 1 กรม) กับกรมทหารเรืออีก 2 กรม (กรมทหารเรือพระที่นั่งเวสาตรี (ทหารช่างแสงเดิม) กับกรมอรสุมพล หรือทหารมารีนเดิม)
กรมทหารดังกล่าวแยกการปกครองบังคับบัญชาเป็นอิสระแก่กัน จนถึง พ.ศ. 2430 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กรมยุทธนาธิการ” มีผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาเหนือกรมทหารบกทั้ง 7 กรม และผู้บัญชาการกรมทหารเรือเป็นผู้ทำหน้าที่บังคับบัญชากรมทหารเรือทั้ง 2 กรม
เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอที่เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารจากประเทศต่างๆ สำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับพระนคร จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เริ่มจัดวางโครงสร้าง กองทัพบก, กองทัพเรือตามแบบกองทัพสมัยใหม่ในยุโรป
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นจเรทัพบก ทั้ง 2 พระองค์ช่วยกันจัดวางยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของทางบก โดยจัดวางโครงสร้างอัตรากำลังกองทัพบกเป็น 10 กองพล กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร รวมการบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
ส่วนกองทัพเรือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทั้ง 2 พระองค์ช่วยกันพัฒนาศักยภาพนายทหารเรือไทย จนสามารถบังคับการเรือรบออกปฏิบัติการในท้องทะเล โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างชาติ
แม้กรมยุทธนาธิการและกรมทหารเรือจะเป็นส่วนราชการ ที่การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงกลาโหม “แต่ตามความจริง ความสำเร็จเด็ดขาดในกิจการทั้งปวงได้ตกอยู่ในมือผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และผู้บัญชาการกรมทหารเรือ, เสนาบดีกระลาโหมเกือบไม่ได้มีงานอะไรทำเลย”
วันที่ 10 ธันวาคม 2453 รัชกาลที่ 6 มีพระราชดำริให้เปลี่ยนระเบียบราชการกระทรวงทหาร และได้โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศตั้งกระทรวงทหารบกทหารเรือในราชกิจจานุเบกษา 11 ธันวาคม 2453 มีความตอนหนึ่งว่า
“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกกรมยุทธนาธิการเสีย ให้เสนาบดีกระทรวงกระลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบกทั่วไปตามโบราณประเพณี รวมทั้งการเกณฑ์คนเข้ารับราชการทหารตามพระราชบัญญัติลักษณเกณฑ์ทหาร ในน่าที่ของฝ่ายทหารนั้นด้วย แลให้ยกกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวง มีเสนาบดีบังคับบัญชาการทหารเรือทั่วไป ให้เสนาบดีมีเกียรติยศ แลตำแหน่งเสมอเสนาบดีกระทรวงอื่นๆ…”
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบราชการกระทวงทหาร พ.ศ. 2453 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “สภาป้องกันราชอาณาจักร” หรือที่เรียกว่า “สภาการทัพ” เป็นที่ประชุมสำคัญ โดยพระองค์ทรงเป็นประธาน ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหม, เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ, จอมพลทหารบก, จอมพลทหารเรือ ทั้งที่ประจำการและมิได้ประจำการเป็นสมาชิก ซึ่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเปลี่ยนเป็น “สภากลาโหม”
ต่อมาเมื่อถึงรัชกาลที่ 7 กระทรวงทหารบกทหารเรือที่เดิมแยกกันนั้น มีพระราชดำริว่า
“…เป็นเวลาอันสมควรจะรวมราชการทหารบกทหารเรือเข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน เพื่อให้กิจการป้องกันพระราชอาณาจักรประสานกันดีขึ้นตามสมควรแก่กาลสมัย จึ่งมีพระบรมราชโองการให้รวมราชการกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจบังคับบัญชาราชการได้ตลอดทั้งทหารบกทหารเรือ” นับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2474
ตั้งแต่นั้นมา กระทรวงทหารบกทหารเรือก็มารวมอยู่ใน “กระทรวงกลาโหม”
อ่านเพิ่มเติม :
- จอมพล ป. เปลี่ยนพิธีสวนสนามกองทัพไทย ?!?
- กองทัพประเทศไหนแข็งแกร่งที่สุดในโลก แล้ว “ไทย” อยู่อันดับที่เท่าไหร่?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
วรชาติ มีชูบท. เบื้องลึก เบื้องหลัง ในพระราชบันทึกเรื่อง “ประวัติต้นรัชกาลที่ 6”, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2559.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 มิถุนายน 2567