วัดอังกุลา มีหลวงพ่อดำกับลูกศิษย์

แต่เดิมย่านตลิ่งชันถือเป็นส่วนลี้ลับของบางกอก เพราะอยู่ลึกเข้าไปภายในคลองมีเรือกสวนหนาทึบ อย่างไรก็ตามหากตรวจสอบดูให้ดีแล้ว ย่านดังกล่าวเคยเป็นหนึ่งบนเส้นทางคมนาคมหลักจากบ้านเมืองทางตอนเหนือตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเพื่อจะออกยังปากอ่าวไทย เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาเคยไหล
โค้งผ่านจุดนี้  มีชุมชนสำคัญคือ “บางระมาด” ที่ถูกบันทึกไว้ในวรรณคดีโบราณสมัยอยุธยาตอนต้นชื่อ “กำศรวลสมุทร” หรือกำศรวลศรีปราชญ์ ก่อนการขุดแม่น้ำลัดที่บางกอกใหญ่ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช พ.ศ. ๒๐๘๗

ภาพถ่ายดาวเทียม แสดงอาณาบริเวณปากคลองบางระมาดที่ต่อกับคลองชักพระ อันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม มีวัดโบราณตั้งเรียงราย เช่น วัดช่างเหล็ก วัดเรไร และวัดอังกุลา (ร้าง) ที่ลึกเข้ามาในคลอง (ที่มา ปรับปรุงจาก Google earth)
ภาพถ่ายดาวเทียม แสดงอาณาบริเวณปากคลองบางระมาดที่ต่อกับคลองชักพระ อันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม มีวัดโบราณตั้งเรียงราย เช่น วัดช่างเหล็ก วัดเรไร และวัดอังกุลา (ร้าง) ที่ลึกเข้ามาในคลอง (ที่มา ปรับปรุงจาก Google earth)

ทุกวันนี้ยังมีคลองบางระมาด ไหลแยกจากคลองชักพระซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าตรงตลิ่งชันไปทางตะวันตก สองฟากฝั่งคลองนี้แม้จะกินลึกเข้าไปในสวน (ที่ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นชุมชนทันสมัยด้วยถนนเส้นใหม่) แต่ก็มีวัดวาอารามใหญ่น้อยเรียงรายเป็นระยะไม่ขาดจากกัน แสดงว่าความสำคัญของคลอง “บางแรด” แห่งนี้มีมาแต่ก่อนแล้วสมกับที่วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยาได้บันทึกเอาไว้

Advertisement
คลองบางระมาดถ่ายจากสะพานข้ามคลองข้างวัดอังกุลา (ร้าง)
คลองบางระมาดถ่ายจากสะพานข้ามคลองข้างวัดอังกุลา (ร้าง)

วัดริมคลองบางระมาดหลายวัดยังคงเป็นวัดสำคัญในชุมชน เช่น วัดช่างเหล็ก วัดมณฑป วัดมะกอก วัดโพธิ์ ทว่ายังหลงเหลือร่องรอยวัดร้างแห่งหนึ่งบนฝั่งคลองที่มีหลักฐานทางโบราณคดี-ศิลปกรรมที่น่าสนใจและอาจโยงกลับไปจนถึงสมัยอยุธยาด้วย คือ วัดอังกุลา

ซากอุโบสถวัดอังกุลา (ร้าง) ริมถนนแก้วเงินทองย่านตลิ่งชัน มีต้นไม้ปกคลุมและชาวบ้านได้สร้างอาคารหลังคาคลุมครอบไว้
ซากอุโบสถวัดอังกุลา (ร้าง) ริมถนนแก้วเงินทองย่านตลิ่งชัน มีต้นไม้ปกคลุมและชาวบ้านได้สร้างอาคารหลังคาคลุมครอบไว้

วัดร้างแห่งนี้ไม่มีสัญญาณใดเลยที่ผู้สัญจรผ่านไปมาจะรู้ได้ว่าเคยเป็นวัดมาก่อน เพราะหลงเหลือเพียงฐานอาคารซึ่งน่าจะเป็นอุโบสถเก่า (เพราะขุดพบลูกนิมิต) มีต้นไทรยืนต้นปกคลุมเป็นพุ่ม แต่ก็มีชาวบ้านได้เข้าไปปรับปรุงโดยก่อฐานซีเมนต์ปูกระเบื้องทับลงบนฐานเก่าพร้อมหลังคาสังกะสี ลูกกรงและประตูเหล็กเอาไว้ พร้อมกับป้ายทาสีแดงเขียนชื่อ “วัดอังกุลา (ร้าง) หลวงพ่อดำ” ปักไว้ริมถนน จากรายงานของ น. ณ ปากน้ำ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ ก็ยังกล่าวว่าวัดแห่งนี้เหลือเพียงซากอุโบสถเก่า

หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาเป็นประธานภายในโบสถ์วัดอังกุลา (ร้าง) มีผู้นำเอาเครื่องของบูชาและรูปเคารพมาวางจนเต็มหน้าฐานชุกชี
หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาเป็นประธานภายในโบสถ์วัดอังกุลา (ร้าง) มีผู้นำเอาเครื่องของบูชาและรูปเคารพมาวางจนเต็มหน้าฐานชุกชี

ตัววัดตั้งอยู่ฝั่งคลองบางระมาดทิศเหนือ มีถนนสายตลิ่งชัน-บางพรม (ถนนแก้วเงินทอง) ตัดผ่านตรงเชิงสะพานข้างคลองบางระมาดทางด้านตะวันตกของวัด ส่วนที่เหลือก็ถูกบ้านเรือนสร้างล้อมรอบเอาไว้โดยมีพื้นที่ว่างแคบๆ คั่น ยังสังเกตได้ว่าวัดอังกุลาหันหน้าลงทางทิศใต้สู่คลองบางระมาด เพราะองค์พระพุทธรูปประธาน “หลวงพ่อดำ” ประดิษฐานผินพระพักตร์ไปทางนั้น

ชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยาถูกนำมาวางรวมไว้ที่ฐานชุกชีหลวงพ่อดำ เป็นหลักฐานยืนยันว่าวัดอังกุลานี้มีอายุสมัยเก่าไปจนถึงกรุงศรีอยุธยาและเคยมุงหลังคาด้วยกระเบื้องแบบกาบกล้วยหรือกระเบื้องกาบู
ชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยาถูกนำมาวางรวมไว้ที่ฐานชุกชีหลวงพ่อดำ เป็นหลักฐานยืนยันว่าวัดอังกุลานี้มีอายุสมัยเก่าไปจนถึงกรุงศรีอยุธยาและเคยมุงหลังคาด้วยกระเบื้องแบบกาบกล้วยหรือกระเบื้องกาบู

ไม่มีเอกสารใดที่กล่าวถึงวัดแห่งนี้แม้แต่ช่วงเวลาที่ทิ้งร้างไป แม้แผนที่กรุงเทพฯ รุ่นเก่าราว พ.ศ. ๒๔๕๐-
๗๔ ก็ยังไม่ระบุชื่อและตำแหน่งที่ตั้งของวัดร้างแห่งนี้แล้ว ส่วนผู้คนที่อยู่อาศัยรอบๆ ยังบอกกล่าวทำนองว่าวัดนี้ถูกทิ้งมาตั้งแต่สมัยสงครามเสียกรุง คนรุ่นปู่ย่าพ่อแม่เข้ามาอยู่ตรงนี้ก็เป็นวัดร้างไปแล้ว ดังนั้นข้อมูลเอกสารความเป็นมาของวัดอังกุลาจึงยังไม่อาจสืบสวนได้ชัดเจน ทว่าหลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลืออยู่ก็อาจให้คำอธิบายอะไรบางอย่างได้ด้วย

หลักฐานที่ควรกล่าวถึงสำหรับวัดอังกุลา คือ “หลวงพ่อดำ” ประดิษฐานอยู่เป็นประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งน่าจะสลักจากหินทรายตามแบบพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ด้วยเค้าพระพักตร์รียาว เม็ดพระศกเล็กละเอียด พระขนงโก่ง พระเนตรหรี่ต่ำ พระโอษฐ์ค่อนข้างหนา มีพระหนุ (คาง) เป็นปมเน้นรูปเหลี่ยม อันเทียบได้กับพระพักตร์พระพุทธรูปหินทรายในศิลปะอยุธยาตอนต้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐

อย่างไรก็ดี ไม่อาจตรวจสอบพุทธลักษณะได้มากกว่านี้เพราะบนฐานชุกชีเต็มไปด้วยเครื่องบูชา พระ
พุทธรูปองค์เล็กองค์น้อยและวัตถุมงคลกองสุมกันอยู่จนเต็ม แต่ยังสังเกตได้ว่าฐานรองรับหลวงพ่อดำนั้นเป็นฐานสิงห์ที่มีขาสิงห์ยืดยาว มีกระจังประดับ เป็นฐานแบบที่นิยมในศิลปะอยุธยาตอนปลายลงมา

(ซ้าย) กระดานเขียนยอดเงินในการทำบุญประจำปีที่โบราณสถานวัดอังกุลาในวันที่ ๒ มกราคมของทุกปี ด้านขวามือเป็นโคนต้นไทร “เจ้าแม่ไทรทอง” ที่มีผ้าแพรห่มไว้, (ขวา) ลูกตะกร้อจำนวนมากที่ผู้คนนำมาถวายแก้บนให้ “พี่จุก พี่แกละ พี่เปีย” ลูกศิษย์วัดอังกุลาของหลวงพ่อดำ
(ซ้าย) กระดานเขียนยอดเงินในการทำบุญประจำปีที่โบราณสถานวัดอังกุลาในวันที่ ๒ มกราคมของทุกปี ด้านขวามือเป็นโคนต้นไทร “เจ้าแม่ไทรทอง” ที่มีผ้าแพรห่มไว้, (ขวา) ลูกตะกร้อจำนวนมากที่ผู้คนนำมาถวายแก้บนให้ “พี่จุก พี่แกละ พี่เปีย” ลูกศิษย์วัดอังกุลาของหลวงพ่อดำ

ดังนั้นหากอายุสมัยของหลวงพ่อดำ วัดอังกุลาเป็นไปตามรูปแบบศิลปกรรมแล้ว ก็จะสอดคล้องกับ
“กำศรวลสมุทร” ที่บันทึกถึงชุมชนบางระมาดในสมัยต้นของกรุงศรีอยุธยา และคงมีการบูรณะซ่อมแซมวัดนี้เรื่อยมาจนสมัยอยุธยาตอนปลายด้วย

นอกจากนี้ยังได้พบข้อมูลเอกสารที่ระบุว่า ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์ซึ่งอัญเชิญไปจากวัดนี้ คือ “หลวงพ่อขาว” ประดิษฐานอยู่ที่วิหารวัดจันทร์ประดิษฐาราม ภาษีเจริญ น่าจะเป็นพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาเช่นกัน

บนฐานชุกชี ยังพบโบราณวัตถุน่าสนใจ คือลูกนิมิตสลักจากหินธรรมชาติ อิฐก้อนใหญ่ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างเดิม และกระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา เป็นหลักฐานบ่งว่าแต่เดิมอาคารอุโบสถเก่าของวัดอังกุลาเคยมุงหลังคาด้วยกระเบื้องกาบู หรือกระเบื้องกาบกล้วย (แบบเป็นลอน) ซึ่งถ้าติดตามลึกเข้าไปในคลองบางระมาดจะพบวัดโบราณอีกแห่งที่ยังใช้กระเบื้องแบบนี้อยู่ (แต่เปลี่ยนเป็นของใหม่แล้ว) คือวัดกระจัง

ที่น่าสนใจอีกประการคือ ชื่อ “อังกุลา” นี้ไม่พบความหมายชัดเจนนัก โดยทั่วไปคำว่า กุลา เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกชนชาติต่างๆ เช่น แถบภาคตะวันออกใช้เรียกชาวไทยใหญ่ หรือคนสมัยโบราณใช้เรียกแขกผิวดำจำพวกหนึ่งที่มาจากเบงกอล

ในที่นี้สันนิษฐานว่า ถ้าหากชื่ออังกุลาไม่ใช่การเรียกเพี้ยนมาจากชื่อเดิมซึ่งไม่รู้ความหมายกันแล้ว เป็นไป
ได้หรือไม่ว่าเรียกตามองค์พระพุทธรูปประธานที่ชื่อ “หลวงพ่อดำ” ซึ่งเปรียบเหมือนคนผิวดำหรือ “กุลา” หรือมีอีกคำหนึ่งซึ่งคล้ายกับชื่อวัดนี้คือ “อังกะลุง” เป็นเครื่องดนตรีแบบหนึ่งซึ่งมาจากทางชวา ซึ่งไม่พบหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

ฝั่งทิศตะวันตกของอุโบสถเก่ามีต้นไทรขนาดใหญ่ ชาวบ้านนับถือว่าเป็นเจ้าแม่ไทรทอง มีการนำเอาผ้าสไบมาห่มให้ที่โคนต้นเป็นการบูชาตามสมัยนิยม

สิ่งที่แปลกตาอีกอย่างคือลูกตะกร้อจำนวนมากที่แขวนบนรั้วลูกกรงรอบอุโบสถ ผู้คนแถบนั้นอธิบายว่า
เป็นลูกตะกร้อที่คนมาบนบานศาลกล่าวกับ “พี่จุก พี่แกละ พี่เปีย” อันเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อดำ (ทำนองเดียวกับกุมารทอง) เมื่อเป็นตามที่บนไว้ก็เอาตะกร้อบ้าง ว่าวบ้างมาถวายให้แก้บนทำนองจะเป็นของเล่นให้กับอารักษ์เหล่านั้น

สังเกตได้ว่าตะกร้อที่แขวนอยู่มีจำนวนมากมายหลายสิบลูก แสดงว่าลูกศิษย์หลวงพ่อดำมีคุณในทางให้โชคลาภไม่น้อย และชาวบ้านแถบนั้นยังคงมีการทำบุญประจำปีของวัดอังกุลา ทุกๆ วันที่ ๒ มกราคมของทุกปี

จากหลักฐานที่กล่าวมา พอที่จะยืนยันได้ว่าวัดอังกุลาร้างแห่งนี้มีอายุสมัยที่ร่วมกันกับเอกสารที่กล่าวถึงย่านบางระมาดที่มีมาตั้งแต่ช่วงอยุธยาตอนต้น-กลาง และยังคงมีความสำคัญอยู่จนสิ้นสมัยอยุธยาจึง
ได้ทิ้งร้างไปจนไม่มีผู้ใดจดจำเรื่องราวความเป็นมาของวัดแห่งนี้ได้ จะเหลืออยู่ก็เพียงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อดำและเหล่าลูกศิษย์ก้นกุฏิที่ได้รับความนับถือกันแพร่หลาย


เอกสารอ้างอิง

กรมแผนที่ทหาร. แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๗๔. กรุงเทพฯ : กรมแผนที่ทหาร, ๒๕๓๐.

กรมศิลปากร. ประวัติและโคลงกำศรวลศรีปราชญ์ พร้อมด้วยบันทึกสอบทานและหมายเหตุ. พระนคร : ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๑๓.

กองพุทธศาสนสถาน กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : กรมการศาสนา, ๒๕๒๕.

กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๔ วัดสำคัญ กรุงรัตนโกสินทร์.กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕.

ประทีป เพ็งตะโก. “แบบพระพักตร์พระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยา,” ในรวมบทความทางวิชาการ ๗๒ พรรษา ท่านอาจารย์ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๓๘.

ประยูร อุลุชาฎะ. ศิลปกรรมในบางกอก. พระนคร : โรงพิมพ์เฟื่องอักษร, ๒๕๑๔.

สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะอยุธยา งานช่างหลวงแห่งแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๐.