ผู้เขียน | สาวบางกุ้ง |
---|---|
เผยแพร่ |
สวัสดีค่ะ คุณแอดมิน Silpa-Mag ดิฉันได้เห็นบทความเรื่อง “18 พฤษภาคม 1974: อินเดียประกาศความสำเร็จการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ‘พุทธะแย้มสรวล’” แล้วก็อดสงสัยเหมือนกับคุณ Pun Surapun ไม่ได้เหมือนกันว่า คำว่า “Smiling Buddha” ทำไมคุณแอดมินถึงเอามาแปลว่า “พุทธะแย้มสรวล” ตรงตัวไปแบบนั้น เพราะคำนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีว่าหมายถึง “พระสังกัจจายน์”
คุณแอดมินมาอธิบายว่า “คนอินเดียใช้คำว่า ‘Buddha’ เพื่อสื่อถึง พระพุทธเจ้าครับไม่ใช่พระสังกัจจายน์ที่เป็นสาวกของพระองค์ หากเป็นผู้ที่รู้พุทธประวัติย่อมรู้ว่า พระสังกัจจายน์กับพระพุทธเจ้าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน แต่ชาวตะวันตกอาจเข้าใจผิดว่า พระสังกัจจายน์เป็นพระพุทธเจ้าได้ จึงเรียกพระสังกัจจายน์ว่า ‘Buddha’ ด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด แต่ไม่ใช่กับกรณีนี้”
ดิฉันเห็นว่า คำอธิบายแบบนี้ยังไม่เคลียร์นะคะ เพราะคนไทยรู้จักพระพรหมดี แต่เวลาอธิบายกับฝรั่งต่างชาติ หรือคนจีน คนมาเลย์กลับเรียกว่า “Four Faces Buddha” ซะอย่างนั้น คนอินเดียเขาอาจจะรู้จักพระพุทธเจ้าและพระสังกัจจายน์ แต่อยากจะเรียกพระสังกัจจายน์ง่ายๆ ว่า “Smiling Buddha” ก็ได้ แม้ว่ามันจะผิดก็ตาม
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นดิฉันก็เลยลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า “Buddha” (The one who was smiling) ที่คนอินเดียใช้ในบริบทนี้ เพื่อเรียกโครงการระเบิดปรมาณูลูกแรกของพวกเขานั้นหมายถึงใครกันแน่ ระหว่างพระพุทธเจ้า หรือพระสังกัจจายน์
พอดิฉันได้เริ่มคิดแบบคริติคอลขึ้นมา ก็เริ่มเห็นคล้ายๆ คุณแอดมินเลยค่ะ เพราะคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของดิฉันก็คือ ถ้าอินเดียจะตั้งชื่อระเบิดปรมาณูลูกแรกของตัวเองซึ่งก็ต้องมีความสำคัญมาก หากเทียบกันระหว่างพระสังกัจจายน์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าย่อมมีความสำคัญกว่าอยู่แล้ว หากคิดในแง่นี้พวกเขาก็คงอยากจะเอามันไปเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้ามากกว่า
แล้วพอไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมดิฉันก็จึงได้รู้ว่า วันที่ 18 พฤษภาคม 1974 ที่เป็นวันทดลองจุดชนวนระเบิดนั้น ยังเป็นวันพุทธชยันตีของทางอินเดียที่เขาฉลองวันประสูติของพระพุทธเจ้า เหมือนวันวิสาขบูชาบ้านเราอีกด้วย (วันเวลาอาจจะคลาดกันเล็กน้อย) วันนี้จึงมีความสัมพันธ์ “โดยตรง” กับพระพุทธเจ้า โอกาสที่พวกเขาจะใช้คำว่า “Smiling Buddha” เพื่อสื่อถึง “พระสังกัจจายน์” จึงน้อยลงไปอีก
เท่านั้นยังไม่พอค่ะคุณแอดมิน ทางอินเดียเขาโปรโมตระเบิดลูกนี้เป็นหนักหนาว่าเป็นระเบิดเพื่อสันติเพราะอะไรรู้มั้ยคะ? คุณวินัย สิทธะปาตี (Vinay Sitapati) นักวิชาการท่านหนึ่งของอินเดียแกไปค้นคว้ามาจึงได้รู้ว่า คุณราชา รามันนา (Raja Ramanna) นักฟิสิกส์คนดังที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้แกรู้จักพุทธประวัติเป็นอย่างดีค่ะ และแกก็รู้เรื่องสงครามระหว่างแคว้นวัชชีกับแคว้นมคธด้วย
ชาวพุทธอย่างเราย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้วล่ะค่ะ แต่ดิฉันขอเท้าความนิดนึงว่า ในช่วงปลายชีวิตของพระพุทธองค์เนี่ยพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งมคธทรงมีดำริที่จะยึดเอาแคว้นวัชชีให้จงได้ พระองค์จึงทรงให้วัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามหยั่งเชิงว่า พระนครไพศาลี นครหลวงแห่งแคว้นวัชชีในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างไร? ด้วยหวังว่าจะได้คำพยากรณ์อันจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายของพระองค์
ปรากฏว่า พระพุทธองค์ท่านไม่ทรงตอบวัสสการพราหมณ์ แต่ได้หันไปถามพระอานนท์ว่า
“อานนท์ ปัจจุบันนี้ชาววัชชียังประพฤติอปิหานิยธรรมกันดีอยู่หรือ”
พระอานนท์ทูลตอบว่า “ยังประพฤติกันดีอยู่ พระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า หมู่คณะใดประพฤติอปริหานิยธรรมเป็นอันดี โดยชอบให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทแล้ว หมู่คณะนั้นพึงหวังได้แต่ความเจริญเพียงฝ่ายเดียว
ปรากฏว่า วัสสการพราหมณ์ แกปัญญาเฉียบแหลมตีความว่า พระองค์ทรงแนะอุบายในการทำศึกว่า ต้องยุยงให้แคว้นวัชชีแตกกันเสียก่อน ถึงจะเอาชนะได้
แต่จริงๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ใฝ่สันติย่อมมิได้ประสงค์จะให้มีการทำสงครามเข่นฆ่ากันอยู่แล้ว พระดำรัสของพระองค์จึงเป็นเหมือนการทัดทานมิให้มีการทำสงครามกันมากกว่า และคำตอบของพระองค์ก็ได้ชะลอเวลาการทำสงครามออกไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปได้สองปี แคว้นมคธก็สามารถยึดครองแคว้นวัชชีได้สำเร็จ ด้วยอุบายยุยงให้ผู้นำวัชชีแตกสามัคคีกันนั่นเอง
แล้วมันเกี่ยวกับ “Smiling Buddha” ยังไง? เกี่ยวสิคะคุณแอดมิน เพราะอะไร? ก็อย่างที่บอกว่า พระองค์มิได้ประสงค์ให้เกิดสงคราม ทีนี้คุณรามันนา ผู้พัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็นแกก็เปรียบเทียบสิคะว่า อินเดียเนี่ยก็เป็นเหมือนแคว้นเล็กๆ ที่ถูกจ้องเบียดเบียนจากรัฐใหญ่ เปรียบดั่งแคว้นวัชชีก็ไม่ปาน หากแคว้นเล็กๆ จะสามารถยับยั้งไม่ให้รัฐใหญ่มาใช้กำลังข่มเหงได้ ก็ต้องมีไม้เด็ดไว้ป้องกันตนเอง
เมื่ออินเดียสามารถสร้างนิวเคลียร์ได้สำเร็จ รัฐใหญ่ที่ไหนก็ไม่กล้ามาแหยมง่ายๆ ทำให้อินเดียไม่ต้องเจอกับชะตากรรมเช่นเดียวกับแคว้นวัชชี ด้วยเหตุนี้เมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์ส่งรหัสยืนยันความสำเร็จของโครงการนี้ต่อนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี จึงใช้คำว่า “Buddha is smiling” เพราะพวกเขาเชื่อว่า พระพุทธองค์จะทรงยินดี ที่อินเดียสามารถสร้างเครื่องมือที่จะยับยั้งสงครามที่จะอาจขึ้นในอนาคตได้สำเร็จนั่นเอง
ถึงตรงนี้ก็คงจะไม่ต้องอธิบายต่อแล้วมั้งคะ ว่าทำไมโครงการระเบิดปรมาณูของอินเดียจึงอ้างว่าเป็น “ระเบิดเพื่อสันติ” และทำไมจึงถูกเรียกว่า “Smiling Buddha”
ขอแสดงความนับถือ
สาวบางกุ้ง