เมื่อฝรั่งอังกฤษคิดประดิษฐ์ “แคนแปด” ให้คนลาวและลาวอีสานเล่น

ชายชาวลาวคนหนึ่งกำลังเป่าแคน ภาพถ่ายโดย Joel M. Halpern ที่ประเทศลาว เมื่อ ค.ศ. 1969 (ภาพจาก University of Wisconsin–Madison Libraries)

แม้นว่าองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศขึ้นทะเบียน “เสียงแคนลาว” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งนำความภาคภูมิใจมาสู่พี่น้องหมอแคน หมอขับ หมอลำ ช่างแคน และผู้ฟัง สองฝั่งโขงโดยถ้วนหน้า แต่ในความดีงามทั้งหลายนั้น ควรต้องปรบมือยกย่องฝรั่งอังกฤษท่านหนึ่งด้วย ท่านชื่อ นายเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ (Herbert Warrington Smyth) เป็นผู้คิดประดิษฐ์ “แคนแปด” (คู่) ขึ้นใช้เป็นคนแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5

นายเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ นักธรณีวิทยา รับราชการเป็นเจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา (Royal Department of Mines and Geology) หรือกรมเหมืองแร่ ระหว่างปี พ.ศ. 2434-2439 ที่มาของการคิดประดิษฐ์ เกิดขึ้นจากการที่ก่อนหน้านั้นแคนที่นิยมเล่นกันทั่วไปมีเพียง 14 ลูก หรือ 7 คู่ (แคนเจ็ด) แต่นายสมิธได้ให้ช่างชาวเวียงจันทน์เพิ่มเสียงคู่เสพขึ้นมาอีก 1 คู่ ดังที่เขาบันทึกไว้ว่า

“…รูปร่างของแคนที่ใช้เป็นแม่แบบกันอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้เห็นถึงความยากลำบากที่ข้าพเจ้าประสบมาในการขอให้ใครสักคนช่วยทำแคนแบบ 16 ปี่ให้สักตัวหนึ่ง คำตอบที่ได้รับเสมอคือ ไม่ได้ ซึ่งก็คือ เป็นไปไม่ได้ หรือ ไม่โก้ ซึ่งก็คือมันไม่ได้เป็นแคนอย่างที่เห็นธรรมดาทั่วไป แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็หามาได้ตัวหนึ่ง โดยความร่วมมือของชายชาวเวียงจันทน์คนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพทำแคนจำนวนมากไว้ขาย แต่เป็นแคนขนาด 4 ศอก (6 ฟุต 8 นิ้ว) ซึ่งคนเป่าต้องมีปอดที่แข็งแรงมาก คนรูปร่างเล็ก ๆ อย่างเขา คงจะเป่าแคนขนาดนี้ไม่ไหวแน่ จะเห็นได้ว่า แคนชนิดนี้สามารถเล่นเสียงเมเจอร์แบบมาตราเสียงในระบบดนตรีสากลปัจจุบัน โดยเริ่มจากเสียงในคีย์ไมเนอร์ที่ต่ำกว่าในระดับที่ไล่เลี่ยกันและไต่ขึ้นไปจนถึงระดับเสียงที่สี่ จะเห็นว่าสามารถเล่นในระดับที่หลากหลายกว่าในแคนชนิดปี่ 5 เลา และ 6 เลา บางทีอาจจะเป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวของชาวอินโดจีนที่สามารถสร้างคอร์ดหรือเชื่อมประสานระดับเสียงดนตรีได้มากกว่าที่เคย…”

ทั้งนี้ มีหลักฐานเป็นโน้ตในหนังสือห้าปีในสยาม เล่ม 1 (Five Years in Siam Vol.1) แคนแปดคู่จึงเป็นแคนที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะภาคอีสาน เพราะเหมาะแก่การเป่าเดี่ยวและเป่าประกอบการขับลำ 

เรื่อง “แคน” นี้ นอกจากบันทึกหนังสือห้าปีในสยามแล้ว เขายังบันทึกไว้ในหนังสือ “บันทึกการเดินทางสู่แม่น้ำโขงตอนบนประเทศสยาม (Notes of a Journey on the Upper Mekong Siam) พ.ศ. 2435 นางพรพรรณ ทองตัน แห่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร เป็นผู้แปลเรียบเรียง ด้วย

จะเห็นได้ว่า นอกจากความรู้ ความเชี่ยวชาญเรื่องการสำรวจตรวจสอบแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเสนอต่อรัฐบาลสยามนั้น ความรู้เรื่องดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสนใจเรื่องแคนของนายสมิธอยู่ในระดับดีมาก จึงไม่แปลกใจที่เขาคิดการเกี่ยวกับเสียงแคนแปดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และยังนิยมใช้กันอยู่ในทุกวันนี้

นายสมิธ นับว่าเป็นข้าราชการชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสนใจเรื่องดนตรีของชาวสยามเป็นอย่างดี ดังปรากฏในบันทึกเรื่องนี้ และในหนังสือห้าปีในสยามที่มีทั้งภาพที่เขาเขียนและโน้ตประกอบเรื่องเล่า ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีชาติพันธุ์วิทยา (Ethnomusicology) ปานนั้น 

บันทึกนี้ทำให้เข้าใจเรื่องแคน สุนทรียรสทางเสียงของคนสมัยเก่า (นิยมแคนใหญ่เสียงทุ้มต่ำ) เรื่องเพลงแคนที่เล่น (เพลงม้าวิ่งและเพลงเดิน) วิถีชีวิตของคนลาวที่ผูกพันกับแคน และน้ำใจที่มีต่อคนต่างชาติที่สนใจดนตรีของตน ดังนี้

บันทึกเรื่องแคน

แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ปากเป่า นิยมเป่าเล่นกันในหมู่ชนชาวลาวทางตอนเหนือ จุดเด่นของเพลงแคนอยู่ที่มีท่วงทำนองที่ไพเราะ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือการบรรเลงและหยุดเป็นช่วง ๆ ให้ถูกต้องตามจังหวะดนตรีที่เราคิดขึ้นนั่นเอง ส่วนระดับเสียงของดนตรีจะมีเสียงสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความยาวของแคนดังนี้ แคนห้าศอก (ยาว 9 ฟุต 4 นิ้ว) เป็นแคนที่มีเสียงสูงกว่าระดับเสียงจี (G) ครึ่งระดับเสียง แคนสี่ศอก (ยาว 6 ฟุต 8 นิ้ว) เป็นแคนที่มีเสียงสูงกว่าระดับเสียงดี (D) สองระดับเสียง แคนสองศอก (ยาว 3 ฟุต 4 นิ้ว) เป็นแคนที่เสียงสูงกว่าระดับเสียงเอฟ (F) ครึ่งระดับเสียง

ที่กล่าวมาเป็นความยาวของแคนทั่ว ๆ ไป แต่บางครั้งก็มีการเล่นแคนหกศอกบ้างเหมือนกัน แคนประเภทนี้มีระดับเสียงต่ำที่ไพเราะ แม้ว่าจะมีท่วงทำนองที่เกิดจากแรงบันดาลใจและแรงลมเป่าของผู้บรรเลงเอง แต่ก็ต้องอาศัยปอดที่แข็งแรงและมีกำลังเสียงอย่างมากด้วย

แคนแต่ละเต้า [1] ประกอบด้วยปี่ [2] ไม่เกิน 14 เลา จัดเรียงเสียงดนตรีตามจำนวนปี่เป็นคู่ ๆ นับจากคู่ที่ใช้ปากเป่าเรียงไปตามท่อสำหรับเป่าลม [3] ดังนี้

ปี่คู่แรก คู่ที่ 1 บังคับด้วยนิ้วหัวแม่มือ ปี่เลาที่ 1 ทางซ้าย เป็นระดับเสียงหลัก เลาที่ 2 ทางขวา เป็นเสียงต่ำคู่แปดของเสียงหลัก เสียงคู่แปดจะไล่ไปตามลำดับจากขวามือเลาที่ 2, 3, 4, 5, และเลาที่ 6 ทางซ้าย (หรือเลาที่ 3 ทางขวา ซึ่งมีเสียงเหมือนกัน) ต่อไปถึงเลาที่ 4, 5 และเปลี่ยนนิ้วกลับมาใช้หัวแม่มือบังคับบนเลาที่ 1 ทางซ้ายมือ

ปี่เลาที่ 2 ทางขวามือมีเสียงต่ำกว่าระดับเสียงหลัก ถึงปี่เลาที่ 2 ทางซ้ายมือ และเลาที่ 1 ทางขวามือ เหนือระดับเสียงช่วงบนขึ้นไปเป็นเลาที่ 6 เลาที่ 7 ทางขวา และเลาที่ 7 ทางซ้าย แสดงภาพการบรรเลงเพลงระดับเสียง D โดยใช้แคน 4 ศอก (โน้ต)

แคนไม่สามารถบรรเลงระดับเสียงชาร์ปหรือแฟลต และไม่สามารถเป่าให้ลมเข้าไปเพียงครึ่งเสียงเหมือนการเป่าขลุ่ยผิวได้เช่นกัน เสียงดนตรีเกิดขึ้นจากการสั่นไหวของลิ้นโลหะเล็ก ๆ ที่ติดไว้ข้างในปี่ ด้วยเหตุนี้ แคนจึงให้เสียงดนตรีที่มีลักษณะ “ซ้ำซาก” และโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เป่าแคนเก่งและชำนาญก็มีแคนกันมากกว่าหนึ่งเต้า 

เพลงที่บรรเลงจากแคนมีความรวดเร็วและไพเราะจับใจ แม้ว่าในระยะแรก ๆ อาจจะฟังไม่ทันและเข้าใจยากอยู่บ้างก็ตาม ส่วนของแคนบริเวณที่จดริมฝีปากเวลาเป่า ทำมาจากผลของไม้ละมุด [4] (mai lamut) ซึ่งแข็งมาก นำมาเจาะรูให้ข้างในกลวงตามขั้นตอนและวิธีการที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง ส่วนด้านนอกทาด้วยน้ำมันชักเงาและเจาะเป็นช่องยาวสองแถวขนานกัน ทั้งด้านบนและด้านล่างของไม้เต้าแคน สำหรับสอดปี่ไม้ไผ่เข้าไปทั้งสองแถว แล้วใช้ขี้ผึ้ง [5] (beeswax) อุดช่องอากาศระหว่างเต้าแคนกับปี่ไม้ ส่วนวิธีที่จะทำให้ปี่เลาใดเลาหนึ่งหลุดออกมาก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยดึงแถบหญ้า [6] (grass bands) ที่มัดไว้รอบ ๆ ปี่ออก และการใช้นิ้วดีดปี่เบา ๆ ก็จะช่วยให้ลิ้นโลหะข้างในสั่นเป็นปกติอีกครั้งหากมันหยุดสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนำปี่ไปอังไว้เหนือไฟ จะทำให้ไม้มีรอยไหม้เป็นลวดลายดูสวยงาม

เรามักไม่ค่อยพบเห็นแคนในสยามนัก เว้นแต่ในแหล่งที่มีชนชาวลาวตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกัน

ประชาชนชาวลาวทั่วทั้งราชอาณาจักรเป็นนักผลิตและเป่าแคนที่ยอดเยี่ยมมาก นับตั้งแต่เมืองหลวงพระบางถูกบุกรุกทำลายจนชาวลาวต้องแตกกระจายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ และถูกขับไล่ลงไปทางใต้ ซึ่งจะพบเห็นชุมชนของพวกเขาอยู่หลายแห่งในกรุงเทพ ฯ ข้อมูลในเรื่องที่ชาวลาวมีความรักเครื่องดนตรีประเภทนี้มากที่สุดในภูมิภาคอินโดจีน คู่กับซากโบราณสถานที่งดงามของเมืองหลวงนับเป็นปัจจัยสนับสนุนข้อคิดเห็นที่ว่า เมืองเวียงจันทน์มีอารยธรรมและรสนิยมด้านดนตรีสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ในบริเวณแวดล้อมสถานที่นี้

ในเรื่องดนตรีนั้น หากไม่ศึกษาฝึกฝนมาเป็นเวลานานก็คงไม่สามารถเล่นได้ดี นอกจากนั้นพวกเขาก็ชอบดนตรีที่มีระดับเสียงต่ำ จึงใช้เสียงคู่แปดกันมากในการบรรเลงเพลง และมักจะได้ยินดนตรีระดับเสียงต่ำเป็นเวลานาน จังหวะที่เราได้ยินอยู่ทั่วไปได้แก่จังหวะม้าวิ่งหรือเพลงเดินเร็ว ๆ ที่หนองคายข้าพเจ้าได้ยินชายสองคนเล่นเพลงเดินในระดับเสียงสูงได้ไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง จนผู้ฟังถึงกับขนลุกทีเดียว และในบางท่อนก็ทำให้หวนรำลึกถึงเพลงเดินที่มีชื่อเสียงเพลงหนึ่งที่เคยฟังมา ชายคนหนึ่งในสองคนนั้นเป่าแคนหกศอกด้วย จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่ไม่เคยได้ยินเพลงลักษณะเช่นนั้นที่นี่มาก่อน ข้าพเจ้าไปพบพวกเขาในถนน กำลังเดินไปงานพิธีแต่งงาน และเป่าแคนเป็นเพลงโดยไม่ใช้ซอหรือขลุ่ยร่วมด้วยเลย มีผู้คนจำนวนมากเดินตามจังหวะเข้าขบวนมา พวกเขาหยุดเดินด้วยความเต็มใจ นั่งลงกับพื้นและบรรเลงเพลงให้ข้าพเจ้าฟังใต้ร่มไม้นานถึงครึ่งชั่วโมง

ด้วยจิตคารวะผลงานของ นายเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ (Herbert Warrington Smyth) เจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา (Royal Department of Mines and Geology) หรือกรมเหมืองแร่ แห่งสยามประเทศ

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] คำลักษณะนามของแคนคือดวงหรือเต้า (ตามที่อธิบายไว้ในสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2535 เล่ม 7) -สวป.

[2] ต้นฉบับใช้คำว่า reeds หมายถึงไม้ลูกแคน คือไม้ที่นำมาประกอบเป็นตัวแคน มักทำจากไม้ในตระกูลไม้ไผ่ ไม้ลูกแคนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไม้กู่แคน – สวป.

[3] ต้นฉบับใช้คำว่า Air – Chamber คือเต้าแคน เป็นไม้ที่มีลักษณะกลม หัวท้ายสุ้มเจาะทะลุกลางเพื่อเสียบไม้ลูกแคนและเจาะรูกลมทางด้านยาวทะลุเป็นรูใหญ่สำหรับจดริมฝีปากเวลาเป่าแคน – สวป.

[4] สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2535 เล่ม 7 ให้รายละเอียดว่า เต้าแคนทำมาจากไม้หลายชนิด เช่น ไม้พยุง ไม้ตะเคียน ไม้ประดู่ เป็นต้น แต่ส่วนมากมักใช้ไม้ประดู่และนิยมใช้ส่วนราก เพราะมีเนื้ออ่อน สะดวกในการเจาะ – สวป.

[5] วัสดุที่ใช้ติดแคน เพื่อให้เต้าแคนกับลูกแคนติดกันสนิท และกันไม่ให้มีลมรั่วออกมาตามร่องเสียบลูกแคนขณะเป่าแคนนั้น มิได้ใช้ขี้ผึ้งดังที่ผู้เขียนระบุไว้แต่ใช้ชันนะรง ซึ่งได้มาจากรังของแมลงชนิดหนึ่ง เรียกว่า ตัวขี้สูดมีลักษณะเหนียวข้น ต้องนำมาทุบผสมกับผงถ่ายที่เผาจากไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น หรือถ่านใบกล้วยแห้งเพื่อให้ส่วนผสมลื่น ไม่ติดมือเวลาจับ – สวป.

[6] คือเถาวัลย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า เถาย่านาง หรือใช้เส้นตอกที่ทำจากผิวไม้คล้า (ไม้ชนิดหนึ่ง ลำต้นและใบคล้ายต้นข่า มีผิวคล้ายหวาย ใช้ผิวสานเสื่อ) นำมามัดลูกแคนเป็นเปลาะ ๆ ตอนใต้เต้าแคนลงไปประมาณสองเปลาะ และเหนือเต้าแคนขึ้นไปประมาณสามเปลาะ เพื่อช่วยตรึงลูกแคนไม่ให้เคลื่อน – สวป.

หนังสือประกอบการเขียน :

กรมศิลปากร. 2544. บันทึกการเดินทางสู่แม่น้ำโขงตอนบนประเทศสยาม (Note of a Tourney on the Upper Mekong Siam) (พรพรรณ ทองตัน, ผู้แปล) กรุงเทพมหานคร: อาทิตย์ โพรดักส์ กรุ๊ป.

________. 2544. ห้าปีในสยาม เล่ม 1 (FIVE YEARS IN SIAM VOL.1) (เสาวลักษณ์ กีชานนท์, ผู้แปล) กรุงเทพมหานคร: อาทิตย์ โพรดักส์ กรุ๊ป.

________. 2558. ประวัติและชีวิตผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม 3. กรุงเทพมหานคร : สำนัก วรรณกรรม และประวัติศาสตร์.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 ตุลาคม 2565