เผยแพร่ |
---|
การติดต่อระหว่างผู้คน, สังคม และรัฐ ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ความเชื่อ ภาษา สังคม การเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงวัฒนธรรมการดนตรีด้วย โดยเฉพาะดนตรีตะวันตก ที่เข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
สนอง คลังพระศรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เรียบเรียงไว้ในบทความชื่อ “พัฒนาการของ วงเครื่องสายฝรั่ง ในสังคมไทย” (สูจิบัตร เพลงไทยประสานเสียง, กรมศิลปากร มิถุนายน 2548) ซึ่งขอสรุปมาพอสังเขปดังนี้
เมื่อสังคมไทยมีการติดต่อกับชาวตะวันตก จึงรับเอาดนตรีฝรั่งเข้ามา ก่อกำเนิดเพลงขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ในสมัยนั้นเรียกว่า เพลงไทยสากล ดนตรีตะวันตกมาพร้อมกับเครื่องดนตรีที่เรียกว่า “แตร”
สันนิษฐานว่าแตรเข้ามา 2 แนวทาง 1. แตรงอน อิทธิพลของแตรอินเดีย ที่เชื่อว่าเข้ามาพร้อมกับวัฒนธรรมพราหมณ์ ประมาณปี 1800 2. แตรฝรั่ง อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก น่าจะเข้ามาในสมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีการใช้แตรทรัมเป็ตในพระราชพิธีตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ถึงสมัยกรุงธนบุรี มีหลักฐานว่า มีดนตรีตะวันตกเล่นอยู่ในสยามแล้ว ดังข้อความใน จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ในตอนรับพระแก้วพระบางจากเวียงจันทน์ลงมาฉลองสมโภชในกรุงเทพฯ ความว่า
“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ และมโหรีไทย มโหรีแขก ฝรั่ง มโหรีจีน ญวน เขมร ผลัดเปลี่ยนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน พระราชทานเบี้ยเลี้ยงผู้ที่มาเล่นนั้น หมื่นราชาราช มโหรีไทยชาย 2 หญิง 4 พระยาธิเบศรบดี มโหรีแขก 2 มโหรีฝรั่ง 3…”
แสดงว่า ดนตรีตะวันตกหรือที่เรียกว่า “มโหรีฝรั่ง” เป็นที่รู้จักของชาวไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่สามารถระบุว่ามีรูปแบบวงเป็นเช่นไร
จนสมัยรัชกาลที่ 4 ดนตรีตะวันตกจึงเริ่มมีบทบาทและมีรูปแบบชัดเจนขึ้น ดังที่ น.พ.พูนพิศ อมาตยกุล กล่าวไว้ใน เส้นทางเพลงลูกทุ่งไทยว่า “ไทยมาเริ่มหัดเดินแถวด้วยแตรฝรั่งในวังหน้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหน้ารัชกาลที่ 4)”
โดยทหารอังกฤษ 2 นายคือ ร้อยเอกน็อกซ์ (Thomas G.Knox) ร้อยเอกอิมเปย์ (Impey) เป็นครูฝึกทหารเกณฑ์อยู่ที่วังหลวง ใช้เพลง “God Save the Queen” เป็นเพลงฝึกหัด ต่อมาสยามเปิดสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศในยุโรปเรือรบฝรั่งก็เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก
การเดินทางเข้ามาของกองเรือเหล่านั้นยังได้นำเครื่องดนตรีเข้ามาด้วย
ระหว่าง ปี 2398-99 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 กองเรือ “แซนแยกซินโต” สัญชาติอเมริกันเดินทางเข้ามาพร้อมกับนำ “แตรวง” เข้ามาบรรเลงตามสถานที่ต่างๆ ที่นายแพทย์ประจำกองเรือชื่อวูด (Wood) ได้บันทึกไว้ว่า “กองแตรวงของเราเป็นกองแรก ที่ชาวสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้ยินเสียงเป็นครั้งแรก”
สมัยรัชกาลที่ 5 เรือรบอเมริกันชื่อ “เตนเนสซี” ได้แวะเข้ามาสยาม พร้อมกับได้นำแตรวงมาบรรเลงด้วย พระยาประภากรวงศ์ (ชาย บุนนาค) จึงได้ชวนเอม.ฟูศโก (M.Fusco) ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับเรือลำดังกล่าวมาเป็นครูแตรประจำกองทัพเรือ ทำให้การบรรเลงเพลงตะวันตกและเพลงไทยบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีตะวันตก ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศแบบใหม่ รัชกาลที่ 5 พระบรมราชโองการให้คัดลอกโน้ตทูลเกล้าฯ ถวายอยู่เสมอ
ขณะที่วังหน้าซึ่งส่งเสริมการดนตรีมาอย่างต่อเนื่อง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญก็ทรงสนพระทัยในการดนตรีแบบใหม่ด้วยเช่นกัน ทรงจ้างมิสเตอร์ จาคอบ ไฟต์ (Jacob Feit) ชาวเยอรมัน สัญชาติอเมริกัน มาเป็นครูฝึกประจำวัง จนกระทั่งสิ้นสุดวังหน้า
ตลอดรัชกาลที่ 5 นับว่าดนตรีแบบตะวันตกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดนตรีไทยอย่างแยกไม่ออก โดยอยู่ในรูปของแตรวง ซึ่งต่อมาก็คือ “วงโยธวาทิต” เป็นส่วนใหญ่
ราวปี 2454 ตรงกับรัชกาลที่ 6 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งวงดุริยางค์ประเภทที่เรียกว่า “ออเคสตรา” (Orchestra) หรือ “วงเครื่องสายฝรั่งหลวง” ขึ้นเป็นครั้งแรก
ครูชลหมู่ ชลานุเคราะห์ ได้เรียบเรียงไว้ “ดนตรีฝรั่งในยุครัตนโกสินทร์” ว่า
วงเครื่องสายฝรั่งหลวง สังกัดกรมมหรสพ ระยะแรกให้คัดเลือกนักดนตรีไทยจากกรมพิณพาทย์หลวงไปฝึกหัดเครื่องสายฝรั่ง ตามความสมัครใจของนักดนตรีเอง เพราะเห็นว่ามีพื้นฐานทางดนตรีอยู่แล้ว น่าจะฝึกหัดดนตรีฝรั่งได้ง่ายขึ้น มีข้าราชการกรมพิณพาทย์หลวงประมาณ 40 คน ผ่านไป 3 เดือนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพอบรรเลงได้ จนครบเวลา 6 เดือน แล้วก็ยังบรรเลงเป็นเพลงไม่ได้
ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ได้ทรงสั่งครูดนตรีฝรั่งมาคนหนึ่งชื่อว่า โปรเฟสเซอร์ อัลแบร์โต นาซารี ชาวอิตาเลียน ให้เข้ามาเป็นครูสอนแตรงวงทหารบก และได้มีการจัดตั้งวงเครื่องสายฝรั่ง “ม้ารวม” ขึ้นโดยมีทหารม้าและทหารราบ 11 ร่วมกัน
รัชกาลที่ 6 จึงโปรดเกล้าฯ ให้บรรดาผู้ฝึกหัดดนตรีฝรั่ง (ชุดพลเรือน) ย้ายไปเรียนกับครูนาซารี โดยฝึกสอนกันที่ตึกกระทรวงกลาโหมชั้น 3 ด้านหลัง ตรงมุมใกล้สะพานช้างโรงสี โดยให้สิบตรีกุน เสนะวิณิน คนเป่าปี่คลาริเน็ตของทหารพาหนะเป็นล่าม ต่อมาวงเครื่องสายฝรั่งหลวงได้ย้ายไปฝึกหัดกันที่สวนมิสกวัน โดยมีครูนาซารีติดตามมาสอนให้ และมีสิบเอกกุนย้ายมาประจำเป็นผู้ควบคุมวงดนตรีและเป็นล่ามไปด้วย
แต่ระยะนั้นได้มีงานราชการในกรมพิณพาทย์หลวงชุกมาก ผู้ที่ไม่เข้าใจในทางดนตรีฝรั่งย้ายกลับยังสังกัดเดิมหลายท่าน นัยว่าคงเหลือที่หัดดนตรีฝรั่งอยู่เพียงประมาณครึ่งเดียว การฝึกหัดเครื่องสายฝรั่งกับครูนาซารีในระยะนั้นนับว่าได้ผลดี เมื่อมีพระราชอาคันตุกะเข้ามาเยี่ยมเยือนประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วงเครื่องสายฝรั่งหลวงวงนี้เข้าไปบรรเลงถวาย ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่เนืองๆ
ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ครูนาซารีซึ่งมียศเป็นนายร้อยประจำกองทัพบกของประเทศอิตาลีถูกเรียกตัวกลับไปยังบ้านเกิด จึงเป็นเหตุให้วงเครื่องสายฝรั่งหลวงขาดครูผู้ฝึกสอน คงเหลืออยู่แต่ผู้เป็นล่ามคือ ร้อยตรีกุน เสนะวิณิน (ภายหลังได้รับพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็นร้อยเอกหลวงดนตรีบรรเลง) เท่านั้น ที่ช่วยประคับประคองวงดนตรีนี้ไว้
ภายหลังได้ขุนเจนรถรัฐ (ปิติ วาทยะกร) จากกรมรถไฟหลวงมาเป็นครูสอนเครื่องสายฝรั่งหลวงสังกัดกรมมหรสพแทนครูนาซารี และโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายร้อยเอกหลวงดนตรีบรรเลง (กุน เสนะวิณิน) ขาดจากกระทรวงกลาโหมมาเป็นผู้ช่วยขุนเจนฯ ส่วนสถานที่ฝึกหัดก็ย้ายไปอยู่ที่สโมสรเสือป่า ภายในบริเวณพระราชวังสวนจิตรลดา หลังจากนั้นไม่นานขุนเจนรถรัฐก็ทรงพระราชทานเลื่อน และเปลี่ยนราชทินนามเป็น “หลวงเจนดุริยางค์”
ในยุคหลวงเจนดุริยางค์นั้น บรรดานักดนตรีที่มีฝีมือทางดนตรีไทยขอโอนกลับไปปฏิบัติราชการทางดนตรีไทยตามเดิม หลวงเจนดุริยางค์จึงปรับปรุงวงเครื่องสายฝรั่งหลวงให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ด้วยการรับสมัครเด็กใหม่ให้เข้ามาฝึกหัด เช่น ร.อ.เมล์ เอื้อเฟื้อ, นายฉะอ้อน (โฉลก) เนตตะสุต, นายเติม เสนะสกุล, นายประเสริฐ วิเศษศิริ, หมื่นประไพเพลงประสม, หมื่นวิณินปราณีต ฯลฯ
จำนวนนักดนตรีที่เพิ่มขึ้น วงเครื่องสายฝรั่งหลวงจึงแบ่งออกเป็น 2 วง โดยวงสำรองจะมีครูผู้ช่วยฝึกสอนที่มาจากกรมพิณพาทย์หลวง เช่น ขุนสมานเสียงประจักษ์ ผู้เป่าปี่บัสซูน อยู่ในวงบรรเลงก็ช่วยสอนเครื่องเป่าเกือบทุกชนิด ขุนสำเนียงชั้นเชิง ผู้บรรเลงกลองทิมปานี อยู่ในวงบรรเลงก็ช่วยสอนเครื่องที่ประกอบจังหวะทุกชนิด ฯลฯ
แล้ววงเครื่องสายฝรั่งก็ออกแสดงแก่สาธารณะชน ที่ร้าน “กาแฟนรสิงห์” ในทุกเย็นวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.00-19.00 น. รายการบรรเลงนั้นจะมีดนตรีไทย และวงดนตรีฝรั่งของกองเครื่องสายฝรั่งหลวงผลัดกันบรรเลงอาทิตย์ละวง จะมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งไว้สำหรับให้ประชาชนมานั่งรับประทานและฟังดนตรี ซึ่งก็มีประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศฟังดนตรีประมาณ 300-400 คน จนได้รับคำชมเชยจากหนังสือพิมพ์เป็นอันมาก
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ ครูนาซารีเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง โดยไปฝึกสอนวงเครื่องสายฝรั่งของทหารม้า นอกจากนี้ครูนาซารีได้เรียบเรียงเสียงประสานเพลง “บาทสกุณี” (เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงเพลงหนึ่งของไทย) สำหรับการบรรเลงด้วยวงดุริยางค์ถวายเนื่องในงานพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7) กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) ณ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (25 สิงหาคม ปี 2461)
นับว่าเพลงหน้าพาทย์ “บาทสกุณี” เป็นเพลงไทยต้นแบบเพลงแรกที่ริเริ่มทำขึ้นในรูปลักษณะที่เรียกกันว่า “เพลงไทยประสานเสียง” สำหรับบรรเลงด้วยวงดุริยางค์ (Orchestra)
ครูนาซารีได้กวดขันฝึกสอนอย่างหนักจนสามารถบรรเลงเพลงประกอบการแสดงละครแบบ “โอเปร่า” (Opera) โดยใช้นักดนตรีของทหารม้ากับนักดนตรีของกองเครื่องสายฝรั่งหลวง ฝึกซ้อมประมาณ 1 ปี จึงเปิดการแสดงขึ้น ณ โรงโขนหลวง ในบริเวณสวนมิสกวัน (คาดว่าแสดงตอนต้นปี 2463) ซึ่งนับว่าเป็นการ “โอเปรา” หรือ “อุปรากร” ขึ้น เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
แต่น่าเสียดายว่าครูนาซารีเสียชีวิตจากอุบัติทางน้ำ งานของท่านยุติลง
ส่วนวงเครื่องสายฝรั่งหลวงที่หลวงเจนดุริยางค์เป็นผู้ควบคุมและฝึกสอนก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ได้บรรเลงในงานสำคัญต่างๆ เช่น งานเฉลิมพระชนมพรรษา, งานสภากาชาด, งานฤดูหนาว และงานตามสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ หลวงเจนดุริยางค์จึงได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น “พระเจนดุริยางค์” (15 ตุลาคม 2465) นับว่าท่านเป็น “ผู้อำนวยเพลง” (Conductor) ที่เป็นคนไทยคนแรกที่ได้อุบัติขึ้นมาในประเทศไทย
สมัยรัชกาลที่ 7 ในตอนเริ่มต้นของรัชกาลนี้ได้มีการตัดทอนงบประมาณกรมกองต่างๆ ต้องยุบเลิก หรือลดจำนวนข้าราชการลงไปบ้าง สำหรับกรมมหรสพให้ยุบเลิกทั้งหมด ผู้ใหญ่ในวงข้าราชการต่างๆ เห็นควรให้ยุบวงเครื่องสายฝรั่งหลวงไปเสียด้วย
พระเจนดุริยางค์เข้ากราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงความจำเป็น เพื่อแสดงความศิวิไลซ์ของเมืองไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่อารยะชน และเพื่อเป็นทางป้องกันมิให้ประเทศมหาอำนาจหาเหตุเข้ายึดครองโดยอ้างว่าประเทศไทยยังล้าหลังในเรื่องวัฒนธรรมสากล อย่างที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งหลายถูกอ้างอิงแล้วยึดเอาเป็นอาณานิคมมาแล้ว ซึ่งพระองค์ทรงเห็นชอบด้วย
วงเครื่องสายฝรั่งหลวงจึงขยับขยายทำนุบำรุงทั้งกำลังเครื่องและกำลังคนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จนได้มาตรฐานทัดเทียมกับวงดุริยางค์ของโลกตะวันตกอย่างน่าภาคภูมิใจยิ่ง ในรัชการที่ 7 นี้ วงเครื่องสายฝรั่งหลวงจึงมีนักดนตรีที่มีความสามารถอย่างแท้จริงจำนวนถึง 71 คน (วงขนาดมาตรฐานควรมี 60 ถึง 100 คน)
ปี 2470 วงเครื่องสายฝรั่งหลวงสามารถบรรเลงเพลงชั้น “วิจิตรศิลป์” เช่น เพลงจำพวกซิมโฟนี (Symphony), ซิมโฟนิค สวิต (Symphonic Suite), ซิมโฟนิค โพเอ็ม (Symphonic Poem) และอื่นๆ ได้เชี่ยวชาญ รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดการบรรเลงแบบ “ซิมโฟนี คอนเสิร์ต” (Symphony Concert) สำหรับประชาชนทั่วไปขึ้น ณ โรงโขนหลวง ในสวนมิสกวัน และที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง (เขตชั้นนอก) มีพระเจนดุริยางค์เป็นผู้อำนวยการเพลงประจำ
ในเวลานั้นบรรดาชาวต่างประเทศที่เป็นนักวิจารณ์ดนตรี ซึ่งได้เคยท่องเที่ยวฟังดนตรีประเภทนี้จากประเทศต่างๆ ยังได้พากันยกย่องว่า “วงเครื่องสายฝรั่งหลวงแห่งเมืองไทยวงนี้ เป็นวงดนตรีที่ดีที่สุดในภาคตะวันออกไกล”
ข้อมูลจาก
สนอง คลังพระศรี “พัฒนาการ ของ วงเครื่องสายฝรั่ง ในสังคมไทย”ใน, สูจิบัตร เพลงไทยประสานเสียง, กรมศิลปากร มิถุนายน 2548)
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563