ตำนานโบสถ์โบราณสร้างจากหิน ตั้งในหลุมลึก 30 ม. สิ่งก่อสร้างล้ำค่าในเอธิโอเปียมาจากไหน

โบสถ์ Bete Giyorgis ของนิกาย Orthodox ในเอธิโอเปีย ถ่ายเมื่อปี 2012 (ภาพจาก CARL DE SOUZA / AFP)

ในบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ของโลก (กลุ่มสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์) อันกระจายอยู่หลายทวีป มีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมากมาย โบสถ์เซนต์จอร์จ ในเอธิโอเปียอาจไม่ได้จัดอยู่ในสถานที่ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวติดในรายชื่อแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมถึงอันดับต้นๆ แต่อย่างน้อยกระบวนการก่อสร้างในยุคโบราณก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้สิ่งก่อสร้างอื่น

โบสถ์แห่งเซนต์จอร์จ หรือเป็นที่รู้จักในนาม Bet Giyorgis ในภาษา Amharic (ภาษาท้องถิ่น) ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแก่ “ลาลิเบล่า” (Lalibela) ในประเทศเอธิโอเปีย เรียกได้ว่าเป็นเพชรน้ำงามของเมืองหรืออาจของประเทศเอธิโอเปียด้วยซ้ำ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นจากวัตถุดิบที่เป็นหินลาวาแดงขนาดใหญ่ มีเรื่องเล่าต่อกันมาในท้องถิ่นว่าโบสถ์นี้เป็นหนึ่งใน 11 สิ่งก่อสร้างที่แกะสกัดจากหิน โดยนักวิชาการเชื่อว่า การก่อสร้างตามพระประสงค์ที่พิเศษนี้อาจใช้แรงงานไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นราย ตามตำนานเล่ากันว่า พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากเทพทำให้ก่อสร้างเสร็จ สิ่งก่อสร้างนี้ได้รับบรรจุเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อ ค.ศ. 1978

Advertisement

ชื่อของลาลิเบล่า ถูกเชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาจากกษัตริย์ Gebre Mesqel Lalibela ผู้นำในศตวรรษที่ 13 (บางตำราว่าศตวรรษที่ 12) ซึ่งเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาบอกเล่าว่า ยุคของพระองค์สร้างโบสถ์ 11 แห่งหลังจากพระองค์รับบัญชาจากพระเจ้าให้สร้าง “เยรูซาเล็มแห่งใหม่” (New Jerusalem)

ก่อนหน้าที่จะมีถนนในค.ศ. 1955 นักเดินทางต้องเดินทางหลายวันเพื่อเข้าถึงลาลิเบล่า แต่การได้สัมผัสสิ่งก่อสร้างที่อยู่ใต้ผิวดินถึงลงไป 30 เมตร และโบสถ์ที่ทั้งอยู่ภายใต้คูลึก หรือตั้งในถ้ำของเหมืองหิน บางแห่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินคดเคี้ยวและอุโมงค์ก็อาจเป็นสิ่งตอบแทนที่แลกกันได้แบบคุ้มค่า สมกับที่สถานที่นี้ถูกเรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติและชาวเอธิโอเปียส่วนใหญ่ที่นับถือนิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox) อันเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศ

โบสถ์แห่งนี้มีฐานเสา 3 ชั้น ตัวอาคารมีลักษณะเป็นรูปกากบาทสไตล์กรีก สูง 15 เมตร ตั้งอยู่ในหลุมลึกต่ำกว่าระดับผิวดินประมาณ 30 เมตร มีคูลึกล้อมรอบตัวอาคาร บนตัวอาคารมีหน้าต่างแกะเป็นทรงกากบาท งานออกแบบแสดงให้เห็นถึงลักษณะอันหรูหรา วิธีที่จะเดินทางเข้าไปถึงพื้นสนามที่ล้อมรอบอาคารแห่งนี้ต้องเดินทางผ่านบันไดและอุโมงค์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า องค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างที่เป็นหินนั้น ทำให้อาคารเสี่ยงถูกกัดกร่อนจากฝนที่มักตกอย่างหนักในฤดูฝนของเอธิโอเปีย ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างที่กำบังฝนตามแบบอิตาเลียนขึ้นเมื่อปี 2008

นักอนุรักษ์เชื่อว่า ที่กำบังซึ่งช่วยให้อาคารพ้นจากการตกต้องน้ำฝนนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตัวอาคาร อย่างไรก็ตาม หลังคาที่กำบังนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเพิกเฉย” ที่พวกเขาต้องอดทนรับสภาพ

คนในท้องที่กังวลว่า หากหลังคาพังลงมาเมื่อถูกลมพายุรุนแรงอาจทำให้อาคารโบราณพังทลายลง นอกจากนี้ บางรายยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า หลังคาแบบอิตาเลียนนั้นดูอัปลักษณ์สิ้นดี และเหมือนเป็นกรรมเวรอีกครั้งสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างเอธิโอเปียกับอิตาลี

ขณะที่นักบวชและผู้เข้ามาสวดภาวนาในอาคารเป็นประจำร้องเรียนว่า เสาหลักของโครงสร้างหลังคาที่กำบังทำให้ห้องสวดมนต์ใต้ดินเสียหาย (ห้องสวดมนต์ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะ) โดยหลังคาของห้องเริ่มแตกร้าวเนื่องจากแบกรับน้ำหนักเสา แต่ Hailu Zeleke Woldetsadik ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของหน่วยงานด้านวิจัยและอนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า ยืนยันว่าไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงต่างๆ พร้อมปฏิเสธเรื่องความเสียหายต่อห้องสวดมนต์ โดยระบุว่า โครงสร้างที่กำบังอาคารนั้นถูกออกแบบมาให้ลู่เอนไปตามภาวะลมแรง และใช้งานได้อย่างแข็งแรงตลอดระยะเวลารับประกันนาน 10 ปี

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางเข้าเยี่ยมชมอาคารโบราณแห่งนี้ แนะนำว่า ให้เดินทางไปช่วงเดือนมกราคมระหว่างที่มีเทศกาล “ทิมกัต” (Timkat) การเฉลิมฉลองวันสำคัญของพระเยซู ช่วงเวลานี้จะสามารถสัมผัสบรรยากาศแบบชาวคริสเตียนที่อบอวลไปด้วยความเชื่อความศรัทธา

 


อ้างอิง:

Osman, Jheni. The World’s Great Wonders. Lonely Planet Publications PTY LTD, 2014

Stein, Chris. Macron Ethiopia visit raises hopes for ancient stone-carved churches. AFP. Published 11 MAR 2019.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มีนาคม 2562