ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ยาสูบ พืชพรรณพลังใบ สูบกันมานานนับ 1,000 ปี
ยาสูบ หรือ Nicotiana Tabacum เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่นนำมาทำเป็นยา และนำไปสูบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ยาสูบมีแหล่งกำเนิดในบริเวณทวีปอเมริกา พบหลักฐานว่าชาวอินเดียนแดงใช้ประโยชน์จากยาสูบมานานและแพร่หลายมากแล้ว จนเมื่อชาติตะวันตกเข้ามาติดต่อในดินแดนโลกใหม่นี้ พวกเขาได้นำยาสูบไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ จากนั้นมายาสูบก็แพร่หลายไปยังหลายพื้นที่ทั่วโลก
ในดินแดนประเทศไทย พบว่าเริ่มมีการใช้ยาสูบมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งราชอาณาจักรอยุธยา ในบันทึกของ ลา ลูแบร์ กล่าวถึงพวกแขกมัวร์สูบยาเส้น มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการสูบลักษณะคล้ายกับบารากู่ในปัจจุบัน

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า คนไทยแต่ก่อนใช้ใบยาสูบมานานแล้วก่อนที่ใบยาสูบแบบโทแบคโคจากทวีปอเมริกาจะแพร่หลาย แต่อย่างหลังเป็นที่นิยมมากกว่า
“ฝ่ายชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่ต่อแดนอินเดียมาทางทิศตะวันออก และมีทางคมนาคมกับชาวอินเดียมาแต่ดึกดำบรรพ์ คงได้ประเพณีกินหมากและใช้ใบยาอย่างเดิมมาจากชาวอินเดีย ตั้งแต่ใบโตบัคโคยังมิได้มีในทวีปเอเชีย จึงเรียกใบไม้ซึ่งสำหรับใช้สูบ รม ดม นัดถุ์ ว่า ‘ใบยา’ (หมายความว่าใบไม้ซึ่งใช้เป็นโอสถ) ในภาษาไทยเหมือนกันทุกจำพวก
ครั้นมีใบโตบัคโคเข้ามาถึงเมืองไทย เห็นจะได้มาจากเกาะมนิลาเหมือนอย่างจีน ไทยเห็นว่าวิธีใช้ใบโตบัคโค ก็เป็นอย่างเดียวกับเช่นใช้ใบยาอย่างเดิม เป็นแต่รสชาติผิดกัน เปรียบเหมือนอย่างมะม่วงอกร่องผิดกับมะม่วงพิมเสน แต่ก็เป็นมะม่วงด้วยกัน จึงเรียกโตบัคโคเคยปากว่า ‘ใบยา’ แต่เมื่อเพาะปลูกโตบัคโคขึ้นในประเทศนี้ และชอบใช้กันแพร่หลาย การที่ชอบใช้ใบยาอย่างเดิมน้อยลงโดยลำดับ ชื่อว่า ‘ใบยา’ และ ‘ต้นยา’ ตลอดจนคำที่เรียกว่ายาสูบ…”
ในสมัยก่อนมักเรียกยาสูบเป็นคำกลางๆ ว่า “ยา” และใช้คำว่ายาไปประกอบกับคำอื่นที่บ่งบอกลักษณะยาสูบแต่ละประเภท เช่น ยาเส้น ยาฉุน ยาจืด ยามวน เป็นต้น
การปลูกยาสูบเพื่อใช้ประโยชน์พบมากในทุกภาคของไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคอีสาน แหล่งปลูกที่สำคัญในภาคเหนือเช่น เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ในจังหวัดเชียงใหม่พบว่าปลูกกันมากแถบอำเภอสันป่าตอง และอำเภอแม่วาง ใช้เพื่อสูบและเป็นพืชเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชน
ประโยชน์ของยาสูบนอกจากจะใช้มวนสูบเป็นบุหรี่ด้วยใบตอง ใบจาก หรือกระดาษ หรือใส่กล้องยาเส้นแล้วนั้น ยังสามารถเคี้ยวพร้อมหมากได้อีกด้วย ยาสูบสำคัญมากในงานประเพณีต่างๆ เช่น การเลี้ยงผี การขึ้นท้าวทั้งสี่ การสืบชะตาสะเดาะเคราะห์ นอกจากนี้ ยาสูบยังมีประโยชน์อื่นอีกเช่น นำยาสูบชุบน้ำแล้วบีบใส่ปลิง ปลิงจะหลุดออก ใช้ควันไล่แมลง ใช้เป็นยาใส่แผลสด เป็นต้น

สำหรับยาสูบที่นำมาทำเป็นบุหรี่ คนเหนือจะเรียกว่า บุหรี่ขี้โย หรือบุหรี่ซีโย ยาสูบที่นำมาใช้ทำนั้นจะไม่ใช่ยาสูบที่ทำการบ่มเพื่อขายให้โรงงานยาสูบ หรือที่เรียกว่า “ยาเบอร์” แต่จะใช้ยาสูบอีกประเภทที่ใบยาจะหนากว่า และรสฉุนกว่า เรียกกันว่า “ยาเมือง”
การปลูกยาสูบมักจะเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน และรอประมาณ 6 เดือนเป็นอย่างช้าจึงจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต ใบยาสูบ 2 ใบแรกจะเด็ดทิ้ง ใบยาสูบใบที่ 3 เมื่อนำไปบ่มแล้วจะเรียกว่า “ยาตี๋น” ใบยาสูบใบที่ 4-8 จะมีคุณภาพดีที่สุด บ่มแล้วจะเรียกว่า “ยาก๋าง” (ยากลาง) หรือ “ยาจ๋าง” (ยาจาง) จะไม่ฉุน และรสชาติดีกว่ายาตี๋น นิยมนำไปใช้มวนสูบเป็นบุหรี่ ส่วนใบยาสูบที่เหลือจากต้น บ่มแล้วจะเรียกว่า “ยาป๋าย” (ยาปลาย) จะมีรสฉุน และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว ส่วนของต้นสามารถนำไปผึ่งแดดแล้วเผาเพื่อใช้เป็นขี้เถ้าทำปุ๋ย
ยาสูบจะมีสารนิโคติน (Nicotine) เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เมื่อใบยาสูบเกิดการเผาไหม้ จะเกิดสารประกอบต่างๆ อื่นอีกจำนวนมาก ทำให้เกิดกลิ่น สี และรสต่างๆ รวมถึงความหอม และความฉุน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของยาสูบ รวมถึงกรรมวิธีในการทำใบยาสูบ คือ ความอ่อน-แก่ของใบยา และตำแหน่งของใบบนลำต้น ก็มีส่วนทำให้ยาสูบแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ การสูบยาสูบ รวมถึงบุหรี่ ซิการ์ ฯลฯ ที่นำใบยาสูบมาใช้ประโยชน์จะมีการปล่อยสารเคมีจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีสารก่อมะเร็ง ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้สูบ และผู้สูดดมควัน ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงเรื่องปัญหาสุขภาพที่อาจตามมา
อ่านเพิ่มเติม :
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่มที่ 11. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.
www.silpa-mag.com/history/article_79273
https://saranukromthai.or.th/oldchild/1267
https://www.thaitobacco.or.th/2015/01/006812.html
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 เมษายน 2568