รักและคู่สมพงศ์ (๒)

"พลายแก้ว (ขุนแผน) แต่งงานกับนางพิม (วันทอง)" จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ระเบียงคดรอบวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเลย์ไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เขียนโดย เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย

ความรักและการอยู่กินเป็นภริยาสามีกันของคนเรา เป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งนำชีวิตของแต่ละคนหรือทั้งสอง ไปสู่อนาคตที่ไม่มีใครนึกถึง แม้จะรู้จักคบหาเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย เช่น ขุนแผนกับวันทอง และขุนแผนกับบัวคลี่ เป็นต้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มคิดว่าการสมรสที่ประสานประสมกลมกลืนสองหัวใจให้เป็นหัวใจเดียวกันได้นั้น ย่อมเป็นเหตุให้หัวใจแตกสลายได้เช่นกัน

จากการศึกษาค้นคว้าเป็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ไม่พบข้อมูลอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่แต่งงานแล้วเป็นอันมากตอบว่า เขาไม่มีเหตุผลในการแต่งงาน บางคนก็กล่าวเตลิดเปิดเปิงไปว่า “รู้อย่างนี้ไม่แต่งดีกว่า” แต่ผู้ที่พูดเช่นนี้มักแต่งงานมาหลายสิบปีมาแล้วทั้งสิ้น

มนุษย์เราจะอยู่กินกันมาช้านานสักเท่าไรก็ยากที่จะเดาได้ แต่พิธีแต่งงานคงมีขึ้นเมื่อไม่นานนัก เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีพิธีการแต่งงาน มีการเรียกสินสอดตามประเพณี เหตุที่มีประเพณีแต่งงานให้เป็นการเอิกเกริกนั้น เข้าใจว่าเพราะผู้หญิงส่วนมากเมื่อโตเป็นสาวแล้ว ไม่ได้มีผู้ชายมาชอบเพียงคนเดียว ถ้ามีสามีโดยไม่มีพิธีแต่งงาน แล้วหญิงสาวเกิดตั้งครรภ์ขึ้น คงเป็นปัญหายุ่งยากในสังคมนั้นพอสมควร การแต่งงานจึงช่วยแก้ปัญหาให้ได้หลายอย่าง เป็นการป้องกันตัวของผู้หญิงให้รอดพ้นจากการถูกผู้ชายอื่นๆ มาติดพันรักใคร่ ดังเคยมีชายคนหนึ่งประสบความสูญเสียใหญ่หลวงในครอบครัวของเขา แต่ยังไม่ทันหาเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์มาใช้ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขามาหาโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรใดๆ ทั้งสิ้น และเขกศีรษะชายผู้มีความทุกข์นั้นโดยแรง ชายคนนั้นหันมาชกเปรี้ยงเข้าให้ คนที่ถูกชกถามว่า เราเคยล้อกันเล่นมากกว่านี้ไม่โกรธ วันนี้ทำไมโกรธ เขาตอบว่าเตี่ยเขาตาย จึงทราบว่าเขาได้ทำผิดไปแล้วอย่างมาก แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะเพื่อนไม่ได้แต่งกายไว้ทุกข์ แบบสตรีที่ถือศีลแปดศีลสิบไม่ได้แต่งกายเป็นแบบแม่ชี ถ้ายังสาวและสวยอยู่ก็ต้องมีคนมาจีบ พิธีกรรมและเครื่องแบบต่างๆ จึงจำเป็นสำหรับโลกของคนธรรมดา

ความรักเป็นสิ่งที่มีอภินิหารสามารถทำให้คนเรามองอะไรผิดพลาดไปได้มาก สตรีสาวผู้หนึ่งเคยหาบผลไม้ขายอยู่แถวๆ เยาวราช ราชวงศ์ แกเป็นโสดอยู่จนอายุยี่สิบกว่าแล้วมีสามี แกเล่าให้ฟังว่าอยู่กับสามีมาประมาณสิบห้าวัน จึงเห็นว่าสามีขาเป๋ข้างหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น บางคนแต่งงานแล้วนานเป็นเดือนๆ จึงเหม็นบุหรี่ที่สามีสูบ มีผู้บอกว่าสามีภริยาคือผู้ที่จ้องจะเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ชายผู้ไม่ประสงค์จะออกนามคนหนึ่งกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า เขาอยู่กับภริยามาหลายสิบปีเพิ่งจะสังเกตว่าหน้าตาเธอเป็นอย่างไรเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าภริยาของเขาก็คงจะเห็นเช่นเดียวกัน และคิดอะไรๆ เป็นอันมาก

เมื่อข้าพเจ้ายังเล็กๆ คนเราอยู่กินด้วยกันได้เป็นปกติ จำได้ว่าระยะนั้นมีภาพยนตร์ไทยมาฉายที่วิกใกล้บ้าน ชื่อเรื่อง “กลัวเมีย” และในเวลาใกล้ๆ กันนั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น คือ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังจากนั้นปีหนึ่งหรือสองปี สภาผู้แทนราษฎรได้ออกกฎหมายให้ชายหญิงที่จะอยู่กินเป็นสามีภริยากันต้องจดทะเบียนสมรส และจดได้คนเดียว หมายความว่าชายไทยมีภริยาที่ถูกต้องตามกฎหมายได้คนเดียว มีเกินกว่านั้นผิดกฎหมาย

การที่สภาผู้แทนราษฎรตราพระราชบัญญัติเช่นนี้ออกมา จะเป็นเพราะผู้แทนฯ ในสมัยนั้นส่วนใหญ่กลัวเมียหรือไม่ก็ยากที่จะเดาได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือไม่มีนักสิทธิมนุษยชนท่านใดออกมาคัดค้านการออกกฎหมายชนิดนี้ และเมื่อได้ใช้กฎหมายห้ามมีภริยาสองคนมานานถึงปานฉะนี้แล้ว ไม่ว่าใครๆ คงเห็นธรรมดา แม้แต่ผู้ที่เพรียกหาสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นประจำ ความจริงสิทธิต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องมีอยู่ตามธรรมชาติ การห้ามมีสามีภริยาเกิน ๑ คน จึงลิดรอนสิทธิ แม้ปัจจุบันก็มีอีกหลายประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ ไม่ห้ามการมีภริยาเกิน ๑ คน

มีผู้แสดงความเห็นว่า การที่สตรีต้องมีสามีคนเดียวนั้น ด้วยสตรีเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร ปัญหาเรื่องเด็กในครรภ์เป็นบุตรของใครกันแน่นั้น มีมาตั้งแต่สมัยรามเกียรติ์ดังทราบกันดีอยู่แล้ว กล่าวคือ เมื่อพระรามยึดกรุงลงกาได้ ก็จัดการระบบบริการใหม่ทั้งหมด ส่วนเรื่องภายในนั้นเพื่อให้ผู้นำคนใหม่ของลงกาได้รับความสะดวกจึงยกมณโฑของทศกัณฐ์ให้พิเภก ทั้งพระรามและพิเภกไม่ทราบว่าขณะเมื่อทศกัณฐ์สิ้นชีพและเสียกรุงลงกานั้น มณโฑมีครรภ์ได้ ๑ เดือนแล้ว เมื่อมณโฑคลอดบุตร พิเภกจึงคิดว่าเด็กเป็นบุตรของตนอย่างแท้จริง ได้เลี้ยงดูมาอย่างบิดาเลี้ยงบุตรในไส้ จนบุตรไปสมคบกับเพื่อนของทศกัณฐ์ยกทัพมาจะตีเอาลงกาคืน เรื่องจึงร้อนถึงพระรามอีก

คงเป็นเพราะสตรีเป็นผู้ตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรนั้นเอง ที่มีอุปสรรคในการที่มีสามีหลายคนพร้อมกันไม่ได้ ทุกวันนี้การแปลงเพศก็ทำกันได้อย่างแนบเนียนและปลอดภัยพอสมควร เชื่อว่าอีกสักหน่อยการแปลงเพศให้ชายกลายเป็นหญิงจะก้าวไปถึงขั้นให้ชายตั้งครรภ์ได้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำนมก็ไม่น่ากังวล เพราะมีอาหารสำหรับทารกชนิดยอดเยี่ยมอยู่เป็นอันมาก คิดว่าถ้าชายกับหญิงตั้งครรภ์ได้เหมือนกัน สตรีจะมีสามีสักกี่คนก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาเรื่องการวางแผนครอบครัวก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย

การที่นักสิทธิมนุษยชนจะเรียกร้องให้ใครมีภริยาหรือสามีได้สักเท่าไร คงไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เพราะทุกวันนี้พวกเขาก็อยู่ดีกินดีกันทั่วไป ถ้าไม่มีกฎหมายบังคับให้ชายจดทะเบียนสมรสกับสตรีได้คนเดียว จะเกิดอะไรขึ้นสังคมมนุษย์ เพราะก่อนออกกฎหมายนี้ก็ไม่มีการเรียกร้องอะไร ข้าพเจ้าเคยได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งพูดถึงเมียน้อยอย่างเป็นคนสนิท คือท่านพูดว่า “อ้อ…เรื่องนี้หรือ…เอาเถิดประเดี๋ยวจะให้เมียน้อยดิฉันนำมาให้” ซึ่งไม่รู้ว่าท่านพูดกันเรื่องอะไร แต่มีคำว่า “เมียน้อย” อยู่ด้วย

สมัยก่อนนี้ การ “ไหว้” เป็นเรื่องสำคัญ มีข่าวว่าสตรีผู้หนึ่งเป็นเมียน้อยเขา ครั้นเมียหลวงทราบก็จะเอาเรื่อง ในที่สุดมีข่าวว่าเมียน้อยยอมไปไหว้ แล้วเรื่องก็สิ้นสุดยุติกันไป เพราะเมียหลวงถือว่าเมียน้อยยอมรับสภาพแล้วว่าเป็น “น้อย” เขา

นักธุรกิจการค้าสำคัญผู้หนึ่ง ในสำนักงานของเขามีลูกชายลูกสาวมาช่วยทำงานในระดับต่างๆ หลายคน แม้กระนั้นก็ยังบ่นว่า “เสียดายจริงๆ ที่มีลูกไม่พอใช้” ภริยาหลวงของท่านนั่งทำงานด้วยกัน มีหน้าที่รับโทรศัพท์นัดหมายต่างๆ โดยไม่มีการกินสินบน ภริยาหลวงของท่านจัดการนัดหมายได้ไม่มีการผิดพลาดเพราะรู้เรื่องของสามีหมดทุกเรื่อง

สมัยนี้สามีภริยาระหองระแหงกันมากขึ้น บางรายก็ถูกสามีทำร้ายร่างกายฟกช้ำดำเขียว นำสังขารมาแพร่ภาพทางโทรทัศน์ ทั้งที่ควรจะให้ตำรวจและแพทย์ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องแก่คดีได้รู้เห็นเท่านั้น สามีภริยาสมัยนี้ทิ้งขว้างกันง่ายกว่าสมัยก่อน บางทียังชำระหนี้ที่กู้ยืมมาใช้จ่ายในการจัดงานสมรสยังไม่หมดก็เลิกกัน สมัยก่อนท่านใช้สำนวนว่า “ก้นหม้อข้าวไม่ทันดำ” ที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่าการแต่งงานสมัยนี้เป็นไปแบบ “สุกเอาเผากิน” ไม่มีหลักการ สมัยก่อนพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะนำวันเดือนปีเกิดของคู่สมรสไปพิจารณาตามหลักโหราศาสตร์ว่าเหมาะกัน (สมพงศ์) หรือไม่