75 ปี รัฐประหาร 2490  

คณะรัฐประหาร 2490 ถ่ายรูปกันที่วังสวนกุหลาบ

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เกิดเหตุสำคัญ “รัฐประหาร 2490” ที่นำโดย พลโท ผิน ชุณหวัน และพวก การรัฐประหารครั้งนั้น นอกจากจะเป็นการล้มเลิก “รัฐธรรมนูญ” เป็นครั้งแรกในไทย ยังทิ้งหลายอย่างเป็น “มรดก” จนถึงปัจจุบัน

นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2565 จึงขอนำเสนอ 6 บทความหลัก ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหารเมื่อ 75 ปีที่แล้ว

Advertisement
ใบคำปฏิญญาของคณะรัฐประหาร 2490 ซึ่งมีชื่อกำกับเป็นรายบุคคลทุกใบ (ภาพจากอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ พลโท กาจ กาจสงคราม, 2510)

หนึ่งคือ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กับบทความชื่อ “รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 : ปฐมบทของการรื้อสร้างความหมายของรัฐธรรมนูญ”

ที่ว่าด้วยการเกิดความคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรในโลกการเมืองสมัยใหม่ และอิทธิพลที่ไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะในประเทศยุโรปและอเมริกา หากยังเป็นแรงบันดาลใจและเป็นเป้าหมายของระบบปกครองในประเทศทั่วโลก

ในประเทศไทย นับแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ บรรดานักการทูต พ่อค้า และมิชชันนารีที่เดินทางมายังเอเชียก็นำความคิดและนิสัยแบบประชาธิปไตยเข้ามาด้วย เมื่อถึงรัชกาลที่ 5 บรรดาปัญญาชนและขุนนางสยามรุ่นใหม่ที่ศึกษาและทำงานในยุโรป ที่เรียกว่า “คณะ ร.ศ. 103” ทำหนังสือกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน เป็น “คอนสติตูชาแนลโมนากี” (Constitutional Monarchy) ดังเช่นพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป ก่อนจะตามมาด้วยคณะเก๊กเหม็ง ร.ศ. 130, คณะราษฎร ในรัชกาลต่อๆ มา

หนึ่งคือ นริศ จรัสจรรยาวงศ์  กับบทความ “ขุนพล รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ‘ผู้ถูกลืม’ พลโท สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัย สวัสดิเกียรติ (พ.ศ. 2442-95)”

เมื่อกล่าวถึงคณะผู้ก่อการรัฐประหาร 2490 ชื่อของ พลโท สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัยฯ อาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ในวงการแล้วต่างทราบดีว่า พลโท สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัยฯ คือ 1 ใน 4 ขุนพลการรัฐประหารครั้งนี้  ที่ประกอบด้วย พันโท ก้าน จำนงภูมิเวท, พันเอก กาจ กาจสงคราม, พลโท ผิน ชุณหะวัณ และพันเอก สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัย สวัสดิเกียรติ (ยศในขณะนั้น) ทั้งสี่ปฏิบัติงานเชื่อมโยงต่อตรงเข้ากับจอมพล ป.พิบูลสงครามผ่านทหารคนสนิท พ.อ.ขุนศิลป์ศรชัย (ศิลป์ รัตนพิบูลชัย)

พลโท สวัสสดิ์ สวัสดิ์รณชัย สวัสดิเกียรติ ถ่ายขณะแป็นพันเอก เจ้ากรมเกียกกายทหารบก

พลโท สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัยฯ  เจ้ากรมเกียกกายเป็นทหารประจำการคนแรกที่เข้าร่วมก่อการ การประชุมครั้งแรกของคณะรัฐประหาร 2490 ก็เกิดขึ้น ณ บ้านเขา

ที่สำคัญ บ้านของ  พลโท สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัยฯ ตามประวัติ ที่ ว.ช.ประสังสิต บันทึกไว้ว่า “…ก่อนเวลาทำรัฐประหารสักปีกว่า ข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่านนายพันผู้นี้ที่บ้านภายในรั้ววังสมเด็จพระมาตุจฉา ตำบลปทุมวัน ได้ปรารภแก่ข้าพเจ้าว่า รัฐบาลถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ มิได้ยกย่องพระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจริงๆ เลย หากแต่ตั้งไว้เป็นหุ่นสำหรับลวงประชาชนเท่านั้น…”

หนึ่งคือ พันตำรวจโท สมพงษ์ แจ้งเร็ว กับบทความที่ชื่อว่า “บทบาทตำรวจสันติบาลช่วงแรกหลังรัฐประหาร 2490”

ที่เริ่มจากเหตุก่อนหน้าการรัฐประหาร ที่พันตำรวจตรี เชาว์  คล้ายสัมฤทธิ์ ผู้กำกับการตำรวจสันติบาลกอง 2 และ ร้อยตำรวจเอก เฉียบ ชัยสงค์ (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น “อัมพุนันทน์” ) สารวัตรกองกำกับการตำรวจสันติบาลกอง 2 ได้สืบสวนมาโดยแน่ชัดว่า ใครบ้างที่เริ่มทำการเคลื่อนไหว และรายงานผู้บังคับบัญชา

เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นจริงดัง นอกจากนายตำรวจทั้งสองข้างต้น แล้วหลวงสังวรยุทธกิจ รักษาการอธิบดีกรมตำรวจ ก็ถูกให้ “ออกจากราชการ” โดยคณะรัฐประหารให้ พลตำรวจตรี หลวงชาติตระการโกศล รับตำแหน่ง “อธิบดีกรมตำรวจ” แทน

นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งให้ พันเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็น “พลตำรวจตรี” และให้ พลตำรวจตรี พระพินิจชนคดี (เซ่ง อินทรทูต) อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล ซึ่งเคยถูกคำสั่งกระทรวงมหาดไทยให้ออกจากราชการเมื่อปี 2489 เข้ามารับราชการอีกครั้ง ในตำแหน่งประจำกองกำกับการตำรวจสันติบาลกอง 2 และก้าวหน้าจนได้เป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ

ทางคณะรัฐประหารยังได้มีการโอนนายทหารที่เข้าร่วมในการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 มารับราชการในกรมตำรวจอีก 3 นาย คือ พันโท ละม้าย อุทยานานนท์ ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 1 กรมเสนาธิการทหารบก (ผู้ขับรถถังบุกทำเนียบท่าช้างในวันรัฐประหาร) โอนมารับราชการในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจสันติบาล, ร้อยเอก ผาด ตุงคะสมิต นายทหารจากกรมรถรบ มาดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการ 4 กองตำรวจสันติบาล และรองผู้กำกับการ 3 กองตำรวจนครบาล ร้อยเอก ทม จิตรวิมล นายทหารจากกรมยานพาหนะทหารบก  มาดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจสันติบาลกอง 2

รวมถึงการให้ “อำนาจ” แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนแก่ตำรวจสันติบาลในการจัดการปัญหา อีกด้วย

หนึ่งคือ วรวุฒิ บุตรมาตร กับบทความชื่อ “รัฐธรรมนูญ 2490 รัฐธรรมนูญฉบับคณะเจ้า”  ที่กล่าวถึงสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวคือการถวายอำนาจให้แก่พระมหากษัตริย์มากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือ การรื้อฟื้นองค์การเมืองเก่าอย่าง “คณะอภิรัฐมนตรี” ที่สูญสิ้นไปภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 กลับมา และให้ประธานคณะอภิรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ในระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ

ปัญหาในกรณีก็คือ หากประธานคณะอภิรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องลงนามรับสนองพระบรมราชโองการซึ่งตนเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในพระปรมาภิไธย ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่ทรงปรึกษาหารือกับประธานวุฒิสภาหรือประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่สามารถทรงทราบได้ว่ารัฐสภาจะให้ความไว้วางใจหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์สามารถเพิกถอนรัฐมนตรีแต่ละคนหรือทั้งคณะออกจากตำแหน่งได้โดยพระบรมราชโองการ หรือให้พระองค์ทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาขึ้นโดยพระองค์เองด้วย ซึ่งแสดงถึงการถวายพระราชอำนาจทางการเมืองให้กับพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งคือ ณัฐพล ใจจริง กับบทความชื่อ “ปฐมบทการม้วนประชาธิปไตย : การรัฐประหาร 2490 กับการตั้ง ‘อีกระบบหนึ่ง’ ” ที่กล่าวถึง อีกความสำเร็จหนึ่งในหลังรัฐประหาร 2490 คือ การด้อยค่า และทำลายความชอบการปฏิวัติ 2475  ด้วยปฏิบัติการทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น

หนังสือ เบื้องหลังประวัติศาสตร์ เล่ม 1 (2490) ที่ ม.ร.ว เสนีย์ ปราโมช เขียนโดยใช้ในนามปากกา “แมลงหวี่” แสดงทัศนะว่า ไทยมีรัฐธรรมนูญมาแต่สมัยสุโขทัยก่อนรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 ของคณะราษฎรหลายร้อยปี นั่นก็คือหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหง คำอธิบายลักษณะดังกล่าวเผยแพร่อีกครั้งในนิตยสารดุลพาหะเมื่อ 2509 ว่า

“ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย เทียบได้ไม่ต่างกับแม็กนาคาร์ตาของพระเจ้าจอห์นที่ออกมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งคนอังกฤษถือกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของเขา”

แต่ตัวอย่างที่ “แนบเนียน” คงต้องยกให้นิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ผู้เขียนใช้ปากของพลอย-นางเอก และตัวละครสำคัญในเรื่อง ที่ถวิลหาอดีตที่รุ่งเรืองอันแสนสงบสุขของเหล่าชนชั้นสูงที่ถูกทำลายลงจากการปฏิวัติ 2475 หลังการปฏิวัติแล้วทุกอย่างมีแต่เสื่อมลง

และสุดท้าย พลเอก บัญชร ชวาลศิลป์ กับบทความชื่อ “รัฐประหาร 2490 มรดกบาป” ที่เรียบเรียงให้เห็นว่ารัฐประหารครั้งนี้ มิได้เพียงแต่ทำให้ไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในยุคสงครามเย็นเท่านั้น แต่ยังได้ก่อให้เกิดบทบาทใหม่ทางด้านเศรษฐกิจของทหารไทยอีกด้วย

บรรดาสมาชิกผู้ก่อการรัฐประหารที่นอกจากจะก้าวหน้าในราชการทหารแล้ว ยังเติบโตในทางการเมืองและในรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยเข้าไปเป็นประธานกรรมการและคณะกรรมการ อันนำไปสู่การเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ทั้งแหล่งที่มาของทุน ตลอดจนการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่มิได้เป็นเพียงเงินประจำตำแหน่งหรือเบี้ยประชุมเท่านั้น

บทบาทในรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ยังทำให้คณะรัฐประหารเริ่มรู้จักและใกล้ชิดกับนักธุรกิจอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่คือนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนที่กำลังเสาะหา “ไม้กันสุนัข” หรือการมอบ “หุ้นลม” ซึ่งไม่ต้องจ่ายค่าหุ้นแต่อย่างใดเพื่อประกันความปลอดภัยจากการคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อมของอำนาจรัฐ

ที่กล่าวมานี้คือบางส่วนจากเนื้อหาที่ “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤศจิกายนนี้ อยากเชิญชวนท่านผู้อ่านติดตาม เบื้องหน้า-เบื้องหลัง-เบื้องลึก ของเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ 75 ปีก่อน

และพิศษในโอกาศขึ้นปีที่ 44 แจกฟรี “ศาสนาผี” ในไทยหลายพันปี โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ และสามารชมภาพยนต์ “รัฐประหาร 2490” โดย แท้ ประกาศวุฒิสาร ด้วยการสแกน QR CODE นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับนี้

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2565