การผูกขาดการค้าโดยรัฐ กับอุดมการณ์ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ในทศวรรษ 2480

ทศวรรษ 2480 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้อุดมการณ์ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ สนับสนุนมีบทบาทนำในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งเข้าไปประกอบการผลิต และเข้าควบคุม และสนับสนุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น

อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญก็อยู่ในความดูแลของรัฐบาล (รัฐวิสาหกิจ) ตลอดจนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ลดบทบาทชาวจีนทางเศรษฐกิจ โดยขยายการก่อตั้งรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น การก่อตั้งและยึดกุมธนาคารพาณิชย์ การผูกขาดอุตสาหกรรมสีข้าว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การผูกขาดกิจการนำเข้า การกระจายและการขนส่งสินค้าบริโภค นำเข้า รวมทั้งสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ ตลอดจนไปถึงอำนาจทางการเมืองในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมได้มีมากยิ่งขึ้น รัฐบาลเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะพึ่งพาตนเองในการผลิต เพราะสินค้าที่เคยสั่งนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ภายในประเทศนั้นขาดแคลน เกิดความยากลำบาก ได้เร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลได้ชี้นำการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเข้าไปประกอบกิจการต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ ยาสูบ กระดาษ ทอผ้า น้ำตาล เชื้อเพลิง เหมืองแร่

อุตสาหกรรมหลายอย่างรัฐบาลได้ดำเนินการยึดจากชาวต่างชาติ หรือโอนมาจากเอกชน เพื่อดำเนินการต่อรวมทั้งมีการจัดตั้งกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม และตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค

เครื่องจักรภายในโรงงานน้ำตาลจังหวัดลำปาง เมื่อปี 2482 (ภาพจาก หนังสือ ไทยสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482)

ในด้านการค้า รัฐบาลซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการผูกขาดการซื้อขาย ทั้งภายในและต่างประเทศ ในช่วงทศวรรษ 2480 รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัทจังหวัด จำกัด (2480) ผูกขาดสินค้าเกือบทุกประเภท บริษัทข้าวไทย จำกัด (2481) ผูกขาดการซื้อสี และส่งข้าวออกนอกประเทศ บริษัทยางไทย จำกัด (2484) ผูกขาดการค้ายางพารา บริษัทเกลือไทย จำกัด (2484) ผูกขาดการซื้อเกลือให้บริษัทจังหวัดสังกัด และส่งเกลือออกนอกประเทศ บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด (2487) ผูกขาดสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต่าง ๆ และเป็นตัวแทนจำหน่ายสุราของกรมสรรพสามิต

ส่วนการมีบทบาทของรัฐบาลในการพัฒนาธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลได้เข้ายึดทรัพย์สินและกิจการที่เคยตกอยู่ในฐานะที่เป็นทรัพย์สินของชนชาติศัตรูชาวตะวันตก และส่งเสริมให้มีตั้งธนาคารพาณิชย์ของคนไทยขึ้นแทน เช่น ธนาคารมณฑล (2485) ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (2487) และธนาคารกรุงเทพ (2487) ธนาคารกสิกรไทย (2488) ตลอดจนมีการสนับสนุนให้มีการส่งเสริมร้านค้ารายย่อยของคนไทย

หากประชาชนไม่สามารถรวบรวมทุนจัดตั้งร้านค้ารายย่อยได้ รัฐบาลจะเข้าช่วยเหลือโดยการมีหุ้นส่วนด้วย ส่วนในภาคเกษตรกรรมมีการประกาศใช้กฎหมายเพื่อจำกัดการซื้อ-ขายและครอบครองที่ดินของชาวต่างชาติ พัฒนาระบบสหกรณ์ [1]

จอมพล ป. พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิง ละเอียด พิบูลสงคราม (ภาพจาก Thailand Illustrate ฉบับกันยายน 1953)

เศรษฐกิจชาตินิยมได้เปิดโอกาสให้มีการก่อตัวของนายทุนกลุ่มใหม่ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการเป็นข้าราชการโดยร่วมมือกับพ่อค้านายทุนชาวจีนเป็นสำคัญหรือที่เรียกว่าเป็นการเติบโตทุนนิยมข้าราชการ ชนชั้นนายทุนใหม่เหล่านี้ได้เติบโตภายใต้การคุ้มครองของอำนาจข้าราชการและการเมือง และชนชั้นนี้ได้กลายเป็นพลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยในเวลาต่อมา

ตัวอย่างของความร่วมมือของข้าราชการและนายทุนชาวจีน อาทิ การจัดตั้งบริษัทข้าวไทยต้องอาศัยพ่อค้าชาวจีน เช่น นายมา บูลกุล ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านนี้มาช้านาน เช่นเดียวกับการจัดตั้งและการบริหารกิจการธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลที่ต้องอาศัยพ่อค้าชาวจีนอย่าง นายจุลินทร์ ล่ำซำ นายโลวเตี๊ยกชวน บุลสุข และนายตันซิวเม้ง หวั่งหลี เป็นต้น ในขณะที่คณะราษฎรและรัฐบาลก็ได้ส่งคนของกลุ่มตนเข้าไปบริหารธุรกิจเป็นจำนวนมาก อาทิ นายจรูญ รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ นายเล้ง ศรีสมวงศ์ ดร. เดือน บุนนาค และ นายหลุย พนมยงค์ [2]


เชิงอรรถ :

[1] โปรดดู ผาณิต ทรงประเสริฐ. 2527. “นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งแต่ พ.ศ. 2481-2487,” ใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และสมภพ มานะรังสรรค์ (บ.ก.). ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยจนถึง พ.ศ. 2484. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. น. 650-664.

[2] แล ดิลกวิทยรัตน์. 2535. “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2475-2488,” ใน เอกสารชุดวิชาเศรษฐกิจไทย. สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. น. 263.


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาบางส่วนจากบทความ “คณะราษฎรกับเศรษฐกิจไทย” เขียนโดย พอพันธ์ อุยยานนท์ ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2556 โดยเป็นบทความที่ปรับปรุงและเรียบเรียงจากบทความชื่อเดียวกัน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมสัมนาทางวิชาการ เรื่อง “จาก 100 ปี ร.ศ. 130 ถึง 80 ปี ประชาธิปไตย” 22 มิถุนายน 2555 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้อง 304 อาคารมหาจักรีสิรินธร

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 มิถุนายน 2564