ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้นั้น ที่เมืองไทยจะพยายามบอกให้ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”, ใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า, รักษาระยะห่างในสังคม ฯลฯ และมีอีกหลายประเทศที่ใช้แนวทางป้องกันเช่นเดียวกันนี้ แต่ก็มีบางประเทศที่ไม่ได้ใช้แนวคิดดังกล่าว
เว็บไซต์บีบีซี รายงานว่า เซอร์แพทริก วัลแลนซ์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษ เสนอให้มีการสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ในกลุ่มประชากรของประเทศ โดยการปล่อยให้ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งอาจคิดเป็นจำนวนมากถึง 60% ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในหมู่ผู้ที่หายป่วยและรอดชีวิต ซึ่งช่วยปกป้องกลุ่มคนไม่มีภูมิคุ้มกันจากเชื้อร้ายได้โดยอัตโนมัติ ทั้งยังป้องกันการกลับมาระบาดซ้ำของโรคในภายหลังด้วย
เกี่ยวกับเรื่องของโรคระบาดนี้ เมื่อประมาณ 200 กว่าปีก่อน ในสมัยรัชกาลที่ 2 เมืองไทยเกิด “ไข้ห่า” ระบาด การแพทย์สมัยนั้นรักษาอย่างไรไม่ทราบ แต่ทางการมีนโยบายสร้างขวัญกำลังใจกับประชาชน ด้วย “พระราชพิธีอาพาธพินาศ” ส่วนผลสำเร็จเรื่องนี้เป็นอย่างไรนั้น
รศ. พิเศษ นพ.เอกชัย โควาวิสารัช โรงพยาบาลราชวิถี เขียนอธิบายไว้ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ในบทความที่ชื่อว่า “ชันสูตรประวัติศาสตร์ : ไข้ห่าระบาดใหญ่ในสยามสมัยรัชกาลที่ 2 ‘จริงหรือที่หายเพราะพระราชพิธีอาพาธพินาศ’ ”
ไข้ห่า หรือโรคอหิวาต์ ระบาดใหญ่ในเวลานั้น (ปี 2363) ถ้าเทียบความรุนแรงกับปัจจุบันก็ต้องบอกว่า “กินขาด” เพราะในระยะเวลาประมาณ 15 วัน ประชาชนประมาณ 20% ต้องเสียชีวิตจากอหิวาต์
เส้นทางการระบาดของโรคเริ่มจากเกาะหมาก เมืองไทร เข้ามายังเมืองสงขลาประมาณวันที่ 15 มีนาคม 2363 แพร่กระจายต่อถึงกรุงเทพฯ ประมาณวันที่ 23-29 พฤษภาคม 2363 ทำให้พลเมืองสยามล้มตายไปมากมาย ทางการจัดให้มีพิธียิงปืนและสวดพระสูตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม และพระสงฆ์ประน้ำโปรยทรายในวันที่ 24 พฤษภาคม
ส่วนพระราชพิธีอาพาธพินาศนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ทำพระราชพิธีอาพาธพินาศขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2354-55 เป็นเวลา 12 เดือน รายละเอียดของพระราชพิธีอาพาธพินาศมีปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ดังความตอนหนึ่งว่า
“…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ความไข้ซึ่งบังเกิดทั่วไปแก่สมณชีพราหมณ์แลไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินครั้งนี้เพื่อกรรมของสัตว์ ใช่จะเป็นแต่กรุงเทพมหานครก็หาไม่ เมืองต่างประเทศแลเกาะหมากเมืองไทรก็เป็นเหมือนกัน ซึ่งจะรักษาพยาบาลแก้ไขด้วยคุณยาเห็นจะไม่หาย
จึงให้ตั้งพระราชพิธีอาฏานาฏิยสูตร เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือนเจ็ด ขึ้นสิบค่ำ ยิงปืนใหญ่รอบพระนครคืนยังรุ่ง แล้วเชิญพระแก้วมรกตแลพระบรมธาตุทั้งพระราชาคณะออกแห่โปรยทรายประน้ำปริตทั้งทางบกทางเรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศีล ทั้งพระราชวงศานุวงศ์ที่มีกรมหากรมมิได้ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายใน ก็โปรดสั่งมิให้เฝ้า ให้งดกิจราชการเสียมิให้ว่ามิให้ทำ ให้ตั้งใจทำบุญสวดมนต์ให้ทาน
บรรดาไพร่ซึ่งนอนเวรประจำของรักษาพระราชวังชั้นในแลชั้นนอก ก็ให้เลิกปล่อยไปบ้านเรือน โดยทรงพระเมตตาว่า ประเพณีสัตว์ทั่วกัน ภัยมาถึงก็ย่อมรักชีวิต บิดามารดาภรรยาแลบุตรญาติพี่น้องก็เป็นที่รักเหมือนกัน จะได้ไปรักษาพยาบาล ที่ผู้ใดมีกตัญญูอยู่รักษาพระองค์มิได้ไปนั้น ก็พระราชทานเงินตราให้ความชอบ
แลให้จัดซื้อปลาแลสัตว์สี่เท้าสองเท้าที่มีผู้จะฆ่าซื้อขายในท้องตลาดในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ทรงปล่อยสิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก คนโทษที่ต้องเวรจำอยู่นั้นก็ปล่อยสิ้น เว้นแต่พม่าข้าศึก บรรดาประชาราษฎร์ทั้งปวง มีรับสั่งห้าม มิให้ไปเที่ยวฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สัตว์ในน้ำแลบนบก ให้อยู่บ้านเรือน
ต่อเมื่อมีการร้อนควรจะต้องไปจึงให้ไป เดชะอานิสงส์ศีลแลทาน บารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาแก่อาณาประชาราษฎร์ให้ทำดังนี้ มาจนถึง ณ วันเสาร์ เดือนเจ็ด แรมเจ็ดค่ำ ความไข้ก็ระงับเสื่อมลงโดยเร็ว
บรรดาศพชายหญิงซึ่งหาญาติจะฝังจะเผามิได้นั้น พระราชทานเงินค่าจ้างแลฟืนให้พวกพม่าคนโทษเก็บเผาจนสิ้น แต่พระบรมญาติพระองค์เจ้าหญิงสองพระองค์สิ้นพระชนม์ พระราชวงศานุวงศ์แลข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในที่เป็นผู้ใหญ่นั้นดีปรกติอยู่ ความไข้ทั้งนั้นผู้หญิงตายมากกว่าชายสองส่วน ได้ข่าวว่าไข้นั้นเดินขึ้นไปข้างบน
ฝ่ายทูตญวนเมื่อเวลาความไข้ชุกชุมนั้น ก็พระราชทานสิ่งของตอบแทนให้รีบกลับไป มีหนังสือเจ้าพระยาพระคลังบอกไปว่า ทูตที่จะให้ออกไปคำนับพระศพแลคำนับพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่นั้น ต่อความไข้สงบแล้วจึงจะออกไป...”
สรุปกิจกรรมหลักในพระราชพิธีอาพาธพินาศ ประกอบด้วย 1. ตั้งพระราชพิธีอาฏานาฏิยสูตร 2. ยิงปืนใหญ่รอบพระนครคืนยังรุ่ง 3. อัญเชิญพระแก้วมรกต พระบรมธาตุ และพระราชาคณะออกแห่และโปรยทรายประน้ำ 4. พระมหากษัตริย์ทรงศีล 5. ขุนนางตั้งใจทำบุญ สวดมนต์ ให้ทาน 6. ประชาราษฎร์ห้ามมิให้เที่ยวฆ่าสัตว์ ให้อยู่แต่ในบ้าน
เรียกว่าเป็นงานบุญที่ทุกคน ทุกสถาบัน มีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ยังบันทึกต่อไปว่า หลังพระราชพิธีอาฏานาฏิยสูตรแล้ว ชั่วเวลาเพียงแค่ 13 วัน (วันจันทร์ เดือน 7 ขึ้น 10 ค่ำ – วันเสาร์ เดือน 7 แรม 7 ค่ำ) ปรากฏว่า ความไข้ก็ระงับโดยเร็ว ซึ่งแสดงว่าพระราชพิธีอาพาธพินาศได้ผลดี
แต่รัชกาลที่ 5 กลับทรงเห็นว่าพระราชพิธีฯ นี้ไม่ได้ผล
ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งกล่าวว่า
“การพระราชพิธีจึงไม่ได้มีประโยชน์อันใด…คนที่เข้ากระบวนแห่และหามพระพุทธรูป และพระสงฆ์เดินไปกลางทางก็ล้มลงขาดใจตาย ที่มาถึงบ้านแล้วจึ่งตายก็มีมาก และตั้งแต่ตั้งพิธีแล้วโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบร้ายแรงหนักขึ้น ด้วยอากาศยิ่งร้อนจัด หนักขึ้นตามธรรมดาฤดู คนทั้งปวงก็พากันลงว่าเพราะการพิธีนั้นสู้ผีไม่ได้ ผีมีกำลังมากกว่า…”
คราวนี้ก็ถึงการชันสูตร เริ่มจากแยกแยะ “สิ่งที่เหมือน-สิ่งที่ต่าง” จากหลักฐานเสียก่อน
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างพระราชพิธีสิบสองเดือนและพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 คือ การระบาดอย่างรุนแรงของโรคอหิวาต์
สิ่งที่ต่างกันคือ พระราชพิธีสิบสองเดือนบอกว่า พระราชพิธีอาพาธพินาศไม่ได้ผล แต่พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 2 บอกว่า ภายใน 13 วันโรคระบาดนี้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนของครอว์เฟิร์ด (ทูตชาวอังกฤษในสมัยนั้น) ที่ว่า โรคระบาดนี้เกิดขึ้นประมาณ 15 วัน แต่ในพระราชพิธีสิบสองเดือนไม่ได้เขียนไว้ว่าโรคระบาดนี้เกิดขึ้นนานเพียงใด
ส่วนหลักฐานอื่น, พยานแวดล้อม, วิธีการชันสูตร, ข้อสรุปของนายแพทย์เอกชัยเป็นอย่างไร ขอได้โปรดติดตามใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคมนี้