“ท้องกับเจ๊ก” การเมืองราชสำนักฝ่ายใน เรื่องซุบซิบเจ้าหญิงอยุธยาในพระเจ้าตากสินฯ

(ภาพประกอบเนื้อหา) จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดดาวดึงษาราม กรุงเทพฯ

การเมืองในราชสำนักฝ่ายใน ทุกยุคทุกสมัยในสังคมเจ้านายฝ่ายหญิง คงไม่ใช่การเมืองเพื่อชิงบ้านชิงเมือง แต่มักจะเป็นการชิงพื้นที่ความใกล้ชิดกับเหนือหัวหลักฐานเรื่องนี้ที่ปรากฏมากที่สุด จะอยู่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็ไม่เกิดเหตุร้ายรุนแรงนัก อาจเป็นเพราะการจัดสรรพื้นที่เป็นไปอย่างลงตัว

ต่างจากสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งแม้จะมีข้อมูลหลักฐานอยู่เพียงน้อยนิด แต่ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทั้งสิ้น โดยเฉพาะกรณี ท้องกับเจ๊ก คำสั้น ๆ คำนี้ ได้สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก และทัศนคติ ของคนที่ได้พื้นที่ใกล้ชิดอย่างมาก ต่อพระเจ้าตาก ซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ได้สูงส่งนัก

เรื่องนี้แม้จะถือเป็นกรณีเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีส่วนสำคัญถึงขั้นเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ แต่กรณีนี้เป็นเสมือนตัวแทนภาพในประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรีได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะปัญหาการยอมรับในความเป็นกษัตริย์ของบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจ ที่ไม่ได้มีแต่เพียงพระมเหสี เจ้าจอมเท่านั้น เหล่าบรรดาขุนนางอำมาตย์จำนวนไม่น้อย ก็คงมีมุมมองไม่ต่างกัน

พระมเหสี เจ้าจอมมารดา ในสมัยกรุงธนบุรี

หากตรวจสอบพระราชวงศ์กรุงธนบุรีของพระเจ้าตากจากหนังสือที่นิยมใช้อ้างอิงกันคือ ลำดับสกุลเก่า บางสกุล ภาคที่ 4 สกุลเชื้อสายพระราชวงศ์กรุงธนบุรี (ฉบับร่าง) ก็จะพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ หนังสือเล่มนี้อ้างถึงพระมเหสี เจ้าจอมมารดาของพระเจ้าตากไว้เพียง 7 ท่าน คือ

สมเด็จพระอัครมเหสี (หอกลาง) กรมหลวงบาทบริจา / กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (ฉิม) / เจ้าจอมมารดาทิม / เจ้าจอมมารดาอำพัน / เจ้าจอมมารดาเงิน / เจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ / เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง

ราษฎรกรุงศรีอยุธยาต่อสู้กับทหารพม่าที่เข้ามาปล้นฆ่า (ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ)

แต่ละท่านมีประวัติพอสังเขปดังนี้ สมเด็จอัครมเหสี (หอกลาง) เดิมชื่อสอน มีมาก่อนครองราชย์, กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) และเจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง เป็นพระธิดาของพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู), เจ้าจอมมารดาทิม เป็นพระธิดาของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ), เจ้าจอมมารดาอำพัน เป็นธิดาเจ้าอุปราชจันทร์ เมืองนครศรีธรรมราช, เจ้าจอมมารดาเงิน ไม่ทราบประวัติ, เจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ เป็นธิดาของเจ้าพระยาจักรี[1]

แต่ไม่ใช่ว่าพระเจ้าตากจะมีนางห้ามเพียงเท่านี้ คงจะมีเจ้าจอมอีกหลายท่านที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ เนื่องจากไม่มีพระราชโอรส พระราชธิดา สืบสาย

ข้อที่น่าสังเกตคือ บรรดาพระภรรยาเจ้าทั้ง 7 ท่านนั้น ไม่มีพระนามเจ้าหญิงแห่งกรุงศรีอยุธยาอยู่เลย ทั้งที่พระเจ้าตากทรงรับไว้เป็นฝ่ายในหลังศึกกู้กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์

เว้นแต่เจ้าจอมมารดาทิม ที่อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับสายอยุธยา คือ เจ้าจอมมารดาทิม เป็นพระธิดาของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ซึ่งท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ท่านนี้ ... กุหลาบ กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าจอมอยู่งานพระสนมเอก”[2] ของเจ้าฟ้ากุ้ง

อย่างไรก็ดี ไม่พบหลักฐานเรื่องท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) เป็นเจ้าจอมของเจ้าฟ้ากุ้งอยู่ในเอกสารอื่น ที่จะใช้ตรวจสอบเทียบเคียงได้ เช่น คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม กล่าวถึงพระมเหสีของเจ้าฟ้ากุ้งไว้ 3 พระองค์ คือ เจ้าฟ้านุ่ม (พระมเหสี) เจ้าฟ้าฉิม (พระมเหสีซ้าย) เจ้าฟ้าเทพ (พระมเหสีเดิม)[3] ส่วนคำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวถึงนางห้ามของเจ้าฟ้ากุ้งไว้ดังนี้ เจ้าฟ้านุ่ม หม่อมเหญก หม่อมจัน หม่อมเจ้าหญิงสร้อย หม่อมต่วน หม่อมสุ่น[4]

ดังนั้น เรื่องที่จะโยงสายกรุงธนบุรีกับสายกรุงศรีอยุธยาเข้าด้วยกัน ผ่านท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) และเจ้าจอมมารดาทิม จึงน่าจะยังเป็นปัญหาอยู่

อย่างไรก็ดี พระเจ้าตากมีโอกาสที่จะได้สืบสัมพันธ์กับสายกรุงศรีอยุธยาผ่านเจ้าหญิงแห่งกรุงศรีอยุธยาถึง 2 ครั้ง ในรัชสมัยกรุงธนบุรี น่าเสียดายที่โอกาสเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น แม้ว่าหลังสงครามกู้กรุงศรีอยุธยายุติลง พระเจ้าตากจะทรงรับเอาเจ้าหญิงอยุธยามารับราชการในกรุงธนบุรีหลายพระองค์ แต่เจ้าหญิงอยุธยาหลายพระองค์นั้นก็มีเหตุจนไม่สามารถเชื่อมราชวงศ์ทั้งสองเข้าด้วยกันได้

เจ้าหญิงอยุธยา

ระหว่างที่พม่า Shutdown กรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น เกิดคน 3 จำพวก คือ พวกที่หนีตายออกจากเกาะเมือง พวกที่ปักหลักสู้ตายอยู่ในพระนคร และพวกที่หนีเข้ามาในพระนคร

บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์ซึ่งส่วนใหญ่จะปักหลักอยู่ในพระนคร บางส่วนไม่กล้าหนีออกไปเพราะกลัวถูกทหารพม่าจับ แต่บางส่วนก็พยายามหนีออกไปตามที่คิดว่าจะปลอดภัย เช่นในกรณีของพระญาติ หม่อมห้าม พระโอรส พระธิดา ในกรมหมื่นเทพพิพิธ ต่างตัดสินใจหนีออกไปหาผู้นำครอบครัวที่เมืองปราจีนบุรี ฐานที่มั่นของกรมหมื่นเทพพิพิธในขณะนั้น

คนในกรุงเทพมหานครรู้ก็ยินดี คิดกันพาครอบครัวหนีออกจากพระนคร ออกไปเข้าด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นอันมาก บรรดาหม่อมเจ้าชายหญิงซึ่งเป็นพระหน่อในกรมหมื่นเทพพิพิธ กับทั้งหม่อมห้ามและข้าไท ก็หนีออกไปหาเจ้า[5]

เหล่าคุณ ๆ ในก๊กอื่นก็คงทำให้ลักษณะเดียวกันนี้ คือหนีตามเสด็จ หรือบางท่านก็อาจจะกลับไปหลบอยู่ตามบ้านญาติต่างจังหวัดที่ปลอดจากทหารพม่า หรือตามแต่จะเห็นว่าเป็นที่ปลอดภัยอื่น ๆ เช่น หลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) หนีไปอยู่บ้านภรรยาที่อัมพวา พระอาจารย์ศรี หนีออกไปเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น

เรียกได้ว่าเกิดการบ้านแตกสาแหรกขาดกันไปทั่ว

แต่สำหรับเจ้าหญิงอยุธยาอาจจะไม่มีความสะดวกเทียบเท่ากับบุคคลทั่วไป คือส่วนใหญ่น่าจะหลบอยู่ภายในพระนครนั่นเอง เพราะภายหลังถูกจับและกวาดต้อนไปเมืองพม่าเป็นอันมาก เรียกได้ว่าแทบจะหมดเกลี้ยงพระราชวงศ์เลยทีเดียว

เชิญเข้าร่วมฟัง สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ชะตาเมือง – เรื่องดวงดาว” (ผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า มีสิทธิ์ลุ้น รับคำทำนายดวงชะตาส่วนตัว “ฟรี” ในงานเสวนา) วิทยากร : บุศรินทร์ ปัทมาคม และ วสุวัส คำหอมกุล, เอกภัทร์ เชิดธรรมธร ดำเนินการเสวนา วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2566 เวลา 13.30-15.00 น. ณ ห้องโถงอาคารมติชนอคาเดมี โปรดสำรองที่นั่งล่วงหน้า ตามลิงค์นี้ https://docs.google.com/…/1WQ6xE0DeELNZriIk…/viewform… หรือ inbox เฟซบุ๊กเพจ Silapawattanatham – ศิลปวัฒนธรรม หรือโทร. 0 2580 0021-40 ต่อ 1206, 1220 เวลา 10.30-12.00 น. และ 13.00-18.00 น. (จันทร์-ศุกร์)

ชะตากรรมเจ้าหญิงอยุธยาหลังกรุงแตก

หลังกรุงแตก พระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาที่ตกค้างอยู่ในพระราชวังหลวงจำนวนหนึ่งถูกพม่ากวาดต้อนไปรวมกันไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้นฐานทัพใหญ่ของกองทัพพม่า รายงานในเอกสารพม่าแจ้งจำนวนพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาไว้ประมาณ 63 พระองค์ ที่เป็นระดับพระมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา นอกจากนี้ยังมี พระสนม เจ้านายชั้นรองลงมาอีกกว่า 2,000 พระองค์

พระสนมที่เปนเชื้อพระวงษ์พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา รวม 869 องค์ พระราชวงษานุวงษ์ชายหญิงของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยารวมทั้งสิ้น 2000 เศษ[6]

หากจำนวนที่กล่าวนี้เป็นจริง ก็นับได้ว่าเจ้านายพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาน่าจะแทบสิ้นพระราชวงศ์เลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะการบันทึกครั้งนั้น ทำไว้ค่อนข้างละเอียด มีการกล่าวถึงพระนามของเจ้านายชั้นสูงไว้ถึง 63 พระองค์ และเมื่อเทียบกับจำนวนเชลยสงครามทั้งหมดที่กองทัพพม่ากวาดต้อนไปได้ครั้งนั้นมากถึง 100,000 กว่าคน

ในขณะที่เอกสารฝ่ายไทย กล่าวถึงจำนวนเชลยสงครามที่ถูกกองทัพพม่ากวาดต้อนไปครั้งนั้นราว 30,000 คน[7] และกล่าวถึงจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งจากการสู้รบ ป่วยไข้ อดอาหาร มีจำนวนสูงถึง 200,000 คน

ภาพจิตรกรรมแสดงเหตุการณ์กองทัพพม่าโจมตีกรุงศรีอยุธยา สมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 จากอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

เหตุที่ว่ากองทัพพม่าค่อนข้างละเอียดในการจดบันทึกจำนวนพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยานั้น ดูเหมือนว่าพระราชวงศ์เป็นของมีค่าที่น่าจะหมายถึงการปูนบำเหน็จรางวัลอย่างสูงแก่ผู้จับได้ ดังนั้น จึงมีความพยายามของแม่ทัพนายกองของพม่าที่จะเม้มไว้เสียเอง จนเนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ต้องออกมาประกาศให้คืนแก่ตนทั้งหมด

ฝ่ายเนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ จึงใช้ทหารไปประกาศแก่นายทัพทั้งปวงว่าตัวเรากระทำการตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จเพราะปัญญาและฝีมือเรา ซึ่งนายทัพทั้งหลายจะมาคอยชุบมือเอาส่วน กวาดเอาพระราชวงศ์กษัตริย์ไทยไปไว้ทุกค่ายทัพเป็นบำเหน็จมือของตัวนั้นไม่ชอบ ให้เร่งส่งมาให้เราทั้งสิ้น ถ้ามิส่งมาเราจะยกไปตีเอาขัตติยราชวงศ์ทั้งปวงมาให้จงได้[8]

บรรดาพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยาที่ถูกจับไปนั้น ก็ไม่น่าจะตกระกำลำบากมากนัก เพราะเหตุว่าทุกพระองค์ถึงมือพระเจ้ากรุงอังวะทั้งสิ้น

แลพระราชวงษ์แลพระมเหษีแลพระสนมทั้งปวงกับเครื่องภาชนใช้สอยเงินทองทั้งปวงถวายแด่พระเจ้ากรุงอังวะสิ้น[9]

แต่ถ้าการกวาดต้อนเป็นแบบเก็บละเอียดเช่นนี้ แล้วเหตุใดในพระราชพงศาวดารตอนต่อมาจึงปรากฏว่ามีพระราชวงศ์หลงเหลืออยู่ติดค่ายโพธิ์สามต้นอีกหลายพระองค์ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ยังมีเจ้านายบางพระองค์หนีรอดไปได้ และบางส่วนเนเมียวสีหบดีคงไม่อยากเอาติดกองทัพไปด้วย อาจเพราะมีพระอาการประชวร หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

แล้วเนเมียวสีหบดีให้กองทัพทางเหนือทั้งปวง คุมเอาสมเด็จพระอนุชาธิราชซึ่งทรงผนวชกับพระราชวงศานุวงศ์ทั้งนั้นไปทางเหนือ ยังเหลืออยู่บ้างแต่ที่ประชวร จึงมอบไว้ให้แก่พระนายกอง ที่เล็ดรอดหนีไปได้นั้นก็มีบ้าง[10]

นี่จึงเป็นที่มาที่ไปว่าเหตุใดจึงมีเจ้าหญิงอยุธยามารับราชการในราชสำนักกรุงธนบุรี

เจ้าหญิงอยุธยาในราชสำนักกรุงธนบุรี

หลังจากพระเจ้าตากตีได้ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งถือเป็นจุดยุติสงครามกู้กรุงศรีอยุธยา และที่ค่ายโพธิ์สามต้นนี้เองที่พระเจ้าตากทรงรับเอาพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยามาในราชสำนักรุงธนบุรี

ในเขตแดนแว่นแคว้นสยามประเทศ เหตุว่าหาเจ้าแผ่นดินจะปกครองบมิได้ เหมือนดุจสัตถันดรกัล์ปและทุพภิกขันดรกัล์ป และพระราชวงศานุวงศ์ ซึ่งเหลืออยู่พม่ามิได้เอาไปนั้น ตกอยู่ ค่ายโพธิ์สามต้นก็มีบ้าง ที่หนีไปเมืองอื่นนั้นก็มีบ้าง และเจ้าฟ้าสุริยา 1 เจ้าฟ้าพินทวดี 1 เจ้าฟ้าจันทวดี 1 พระองค์เจ้าฟักทอง 1 ทั้ง 4 พระองค์นี้ เป็นราชบุตรีพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ

และเจ้ามิตรบุตรีกรมพระราชวัง 1 หม่อมเจ้ากระจาดบุตรีกรมหมื่นจิตรสุนทร 1 หม่อมเจ้ามณีบุตรีกรมหมื่นเสพภักดี 1 หม่อมเจ้าฉิมบุตรีเจ้าฟ้าจีด 1 เจ้าทั้งนี้ตกอยู่กับพระนายกอง ค่ายโพธิ์สามต้น อนึ่งพระองค์เจ้าทับทิมบุตรีสมเด็จพระอัยกานั้น พวกข้าไทพาหนีออกไป เมืองจันทบูร เจ้าตากก็สงเคราะห์รับเลี้ยงดูไว้[11]

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ วัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี

นอกจากนี้ยังมีพระธิดาในกรมหมื่นเทพพิพิธอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งคงจะได้มาเมื่อคราวตีเมืองพิมาย และประหารกรมหมื่นเทพพิพิธด้วยในคราวนั้น

ที่น่าสนใจก็คือ รายพระนามของผู้ที่พระเจ้าตากสงเคราะห์เลี้ยงดูนั้น เป็นเจ้าหญิงทั้งสิ้น เจ้านายฝ่ายชาย เนเมียวสีหบดีอาจจะไม่ปล่อยทิ้งไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น หรือขณะนั้นไม่เหลือเจ้านายฝ่ายชายอีกเลย จึงเป็นเหตุให้ เจ้าศรีสังข์ (พระโอรสในกรมขุนเสนาพิทักษ์เจ้าฟ้ากุ้ง”) เจ้าจุ้ย (พระโอรสในเจ้าฟ้าอภัยเจ้าฟ้าอภัยเป็นพระราชโอรสพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ซึ่งเป็นเจ้านายฝ่ายชายชั้นสูง 2 พระองค์ที่เหลืออยู่ และมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์อย่างถูกต้อง ถูกพระเจ้าตากตามล่าอย่างไม่ลดละ

ส่วนเจ้านายฝ่ายหญิงที่พระเจ้าตากรับมาจากค่ายโพธิ์สามต้น มีเพียงบางพระองค์เท่านั้น ที่ทรงเลือกให้เป็นห้ามในราชสำนักกรุงธนบุรี

พระเจ้าตากรับเจ้าหญิงอยุธยาเป็นเจ้าจอม 4 พระองค์

ในบรรดาบุตรีที่เป็นเจ้าหญิงอยุธยา พระเจ้าตากไม่ได้รับเป็นเจ้าจอมทุกพระองค์ เนื่องจากบางพระองค์สิ้นพระชนม์ไปก่อน บางพระองค์อาจจะมีพระชันษาสูง บางพระองค์อาจจะประชวรหนัก หรืออาจจะมีเหตุผลส่วนพระองค์บางประการ ดังนั้น จึงทรงรับไว้เป็นเจ้าจอมเพียง 4 พระองค์

อนึ่ง ซึ่งพระขัตติยวงศ์ครั้งกรุงเก่านั้น บรรดาเจ้าหญิงทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงไว้ในพระราชวัง และเจ้าฟ้าสุริยา เจ้าฟ้าจันทวดี สองพระองค์นั้นดับสูญสิ้นพระชนม์ ยังอยู่แต่เจ้าฟ้าพินทวดี พระองค์เจ้าฟักทอง พระองค์เจ้าทับทิม ซึ่งเรียกว่าเจ้าครอกจันทบูรนั้น

และเจ้ามิตร บุตรีกรมพระราชวัง โปรดให้ชื่อ เจ้าประทุม หม่อมเจ้ากระจาด บุตรีกรมหมื่นจิตรสุนทร โปรดให้ชื่อ เจ้าบุปผา กับหม่อมเจ้าอุบล บุตรีกรมหมื่นเทพพิพิธ หม่อมเจ้าฉิม บุตรีเจ้าฟ้าจีด ทั้งสี่องค์นี้ทรงพระกรุณาเลี้ยงเป็นห้าม[12]

ในหนังสือจดหมายความทรงจำฯ ของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งมักจะมีเรื่องอินไซด์ในรั้วในวังอยู่เสมอ ขยายความต่อไปอีกว่า แต่โปรดหม่อมฉิมหม่อมอุบล ประทมอยู่คนละข้าง[13]

การได้เป็นห้ามของพระมหากษัตริย์ น่าจะเป็นเรื่องดีของเจ้าหญิงอยุธยา เพราะขณะนั้นทุกพระองค์ล้วนตกอยู่ในสภาพหมดที่พึ่ง ยิ่งเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ จึงขาดญาติพี่น้องที่จะช่วยดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้เป็นเจ้าจอมตัวโปรดยิ่งสามารถชิงพื้นที่แห่งอำนาจในกิจการฝ่ายในได้ ซึ่งเป็นอำนาจที่ทุกคนหมายปอง

แต่เรื่องกลับเป็นตรงกันข้าม การก้าวเข้าสู่ราชสำนักกรุงธนบุรีในฐานะเจ้าจอมกลับกลายเป็นหายนะของเจ้าหญิงอยุธยา

2 เจ้าจอมตัวโปรดถูกประหารคดีฝรั่งจับหนู

ถึง วันจันทร์ เดือน 7 แรมค่ำ 1 หม่อมเจ้าอุบล หม่อมเจ้าฉิม กับนางละครสี่คน เป็นชู้กับฝรั่งมหาดเล็กสองคน พิจารณาเป็นสัตย์แล้ว มีพระราชโองการ สั่งให้พวกฝีพายทนายเลือกไปทำชำเราประจาน แล้วให้ตัดแขนตัดศีรษะผ่าอกทั้งชายหญิงอย่าให้ใครดูเยี่ยงกันต่อไป[14]

แน่นอนเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ ย่อมมีรายละเอียดอยู่ในจดหมายความทรงจำฯ ของกรมหลวงนรินทรเทวีเป็นแน่ คือมีการเพิ่มคนต้นเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

วิบัติหนูกัดพระวิสูตร์ รับสั่งให้ชิตภูบาลชาญภูเบศ ฝรั่งคนโปรดทั้งคู่ให้เข้ามาไล่จับหนูใต้ที่เสวยในที่ด้วย เจ้าประทุมทูลว่าฝรั่งเปนชู้กับหม่อมฉิมหม่อมอุบล กับคนรำสี่คนเปนหกคนด้วยกัน[15]

จากข้อมูลชิ้นนี้ทำให้เราทราบเรื่องชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยที่ชื่อบุคคล เหตุการณ์ ก็สอดคล้องกับพระราชพงศาวดาร เท่ากับเรื่องนี้มีมูลชัดเจน แล้วเมื่อมีการสืบสวนสอบสวน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีการทรมานตามวิธีปฏิบัติโบราณ ผู้ต้องหามักจะทนไม่ได้แล้วรับเป็นสัตย์กันเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาคือ เราไม่มีทางรู้ได้ว่า เรื่องการที่เจ้าจอมทั้งสองเป็นชู้กับฝรั่งมหาดเล็กชาวโปรตุเกสนั้นเป็นเรื่องจริง หรือถูกใส่ร้ายจากคนต้นเรื่องคือ เจ้าประทุม

ผลการไต่สวนออกมาดังนี้

รับสั่งถามหม่อมอุบลไม่รับ หม่อมฉิมว่ายังจะอยู่เปนมเหษีคี่ซ้อนฤา มาตายตามเจ้าพ่อเถิด รับเปนสัตย์หมด ให้เฆี่ยนเอาน้ำเกลือรดทำประจานด้วยแสนสาหัส ประหารชีวิตร์ผ่าอกเอาเกลือทา ตัดมือตัดเท้า[16]

แต่หลังคำสั่งประหาร ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก

สำเร็จโทษเสร็จแล้ว ไม่สบายพระไทยคิดถึงหม่อมอุบล ว่ามีครรภ์อยู่สองเดือน ตรัสว่าจะตายตามหม่อมอุบล ว่าใครจะตายกับกูบ้าง เสมเมียกรมหมื่นเทพพิพิธว่าจะตามเสด็จ หม่อมทองจันทร์ หม่อมเกษ หม่อมลา สั่งบุษบาจะตามเสด็จด้วย[17]

โชคดีที่ ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) นิมนต์พระมาถวายพระพรขอชีวิตไว้ เรื่องจึงได้ยุติ สรุปว่าเจ้าจอมจากค่ายโพธิ์สามต้นยังเหลืออีก 2 พระองค์

พระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าตากสิน ภายในโบสถ์น้อย วัดอรุณราชวราราม

คดีปริศนาท้องกับเจ๊กใครท้อง?

ไม่ห่างจากคดีฝรั่งจับหนูเท่าไร ก็เกิดเรื่องกับฝ่ายในขึ้นอีกคนต้นเรื่องในคดีนี้คือพระเจ้าตากเอง แต่มีปัญหาว่า ใครคือนางห้ามที่ประสูติเจ้า

นางห้ามประสูตรเจ้า ท่านสงไสยว่าเรียกหนเดียวมิใช่ลูกของท่าน รับสั่งให้หาภรรยาขุนนางเข้าไปถาม ได้พยานคนหนึ่ง ว่าผัวไปหาหนเดียวมีบุตร จึงถามเจ้าตัวว่าท้องกับใคร ว่าท้องกับเจ๊ก เฆี่ยนสิ้นชีวิตรในฝีหวาย แต่เจ้าเล็กนั้นสมเด็จพระพุทธิเจ้าหลวงพระไอยกาเอาไปเลี้ยงไว้[18]

บังเอิญว่าเรื่องท้องกับเจ๊กนี้ ปรากฏหลักฐานอยู่ในจดหมายความทรงจำฯ เพียงแห่งเดียว ไม่ปรากฏในเอกสารอื่น จึงไม่สามารถเทียบเคียงความถูกต้องเพื่อหาตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นใครกันแน่

อันที่จริงเรื่องนี้ทำท่าจะจบลงด้วยดี เพราะแม้พระเจ้าตากจะทรงระแวงสงสัยว่าหนเดียวทำไมถึงท้องได้ ทั้งยังทรงสอบสวนกับพยานที่สามารถยืนยันได้ว่าหนเดียวก็ท้องได้ แต่เมื่อทรงถามเจ้าตัวกลับได้คำตอบเชิงประชดว่าท้องกับเจ๊กเลยเป็นเหตุให้ต้องถูกเฆี่ยนจนต้องสิ้นชีวิตไป

ปัญหาคือ นางห้ามประสูติเจ้า ท่านนี้เป็นใคร ที่แน่ ๆ ย่อมไม่ใช่พระมเหสี เจ้าจอม ที่มีรายชื่อในหนังสือลำดับสกุลเก่าฯ แน่ เพราะท่านเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่จนมีพระราชโอรส พระราชธิดา ในเวลาต่อมา หากเป็นเจ้าจอมที่ไม่เคยปรากฏชื่อในที่ใด ๆ ก็จะกลายเป็นว่านางห้ามท่านนี้จะเป็นปริศนาตลอดไป แต่ยังมีเจ้าจอมอีก 2 พระองค์ ที่มีตัวตนชัดเจน คือเจ้าประทุม กับเจ้าบุปผา หรือในจดหมายความทรงจำฯ เรียกว่า บุษบา ส่วนทั้งสองพระองค์จะเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ ย่อมเป็นปริศนาที่ต้องแก้กันต่อไป

ระยะเวลาที่เจ้าจอมทั้งสองจะประสูติเจ้า ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะเจ้าจอมอุบล เจ้าจอมรุ่นเดียวกันในคดีฝรั่งจับหนูก็ทรงครรภ์ได้ 2 เดือนก่อนจะถูกประหาร เจ้าประทุม คือคนที่ฟ้องคดีฝรั่งจับหนู” เจ้าบุปผา คือคนที่ยอมตายตามเสด็จในคดีเดียวกัน ดังนั้น สองพระองค์นี้ก็สามารถตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นนางห้ามประสูตรเจ้าได้อยู่เช่นกัน

กุญแจสำคัญดอกสุดท้ายในเรื่องนี้คือเจ้าเล็กที่ประสูติออกมา พระราชมารดาถูกเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์ แล้วสมเด็จพระพุทธิเจ้าหลวงพระไอยกาเอาไปเลี้ยงไว้ ซึ่งท่านผู้นี้ก็คือเจ้าพระยาจักรี” หลังจากเจ้าพระยาจักรีเอาเจ้าเล็กไปเลี้ยงไว้ไม่นานก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

ประทมอยู่แว่วเสียงลูกอ่อนร้องที่ข้างน่า กริ้วว่าลูกมันหาเอาไปกับแม่มันไม่ ยังจะทำพันธุ์ไว้อีก สมเด็จพระไอยกาทราบ ทรงพระดำริห์ระแวงผิด จึงส่งให้เจ้าวังนอก ว่าสุดแต่เธอก็ทำตามกระแสรับสั่งสำเร็จโทษเสีย[19]

การที่เจ้าพระยาจักรีเสี่ยงพระราชอาญาแอบเอาเจ้าเล็กไปเลี้ยงไว้นั้น ถือเป็นเบาะแสสำคัญอีกชิ้นหนึ่งในเรื่องนี้ ส่วนเจ้าวังนอก (คือกรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระเจ้าตาก) ก็รับคำสั่งประหารเจ้าเล็กจากเจ้าพระยาจักรีด้วยเหตุว่าท่านกลัวความผิด

หากนางห้ามประสูติเจ้าพระองค์นี้คือ เจ้าประทุม การที่เจ้าพระยาจักรีจะแอบเอาเจ้าเล็กมาเลี้ยงไว้ ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่ เนื่องจากเจ้าประทุมเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรนายเก่าเจ้าพระยาจักรี เพราะท่านเคยรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร

แต่หากนางห้ามประสูติเจ้าเป็นเจ้าบุปผานั้น เจ้าพระยาจักรีไม่น่าถึงขั้นเสี่ยงชีวิตของตัว รับเอาเจ้าเล็กมาแอบเลี้ยงไว้ เพราะเจ้าบุปผาท่านนี้ คือพระธิดาในกรมหมื่นจิตรสุนทร ผู้ที่เคลื่อนไหวจะทำรัฐประหารสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเมื่อคราวเปลี่ยนแผ่นดินจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่สุดท้ายกรมหมื่นจิตรสุนทรก็ถูกประหารชีวิตไป

ดังนั้น นางห้ามประสูติเจ้าท่านนี้จึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นเจ้าประทุม ซึ่งหากท่านถือศักดิ์ว่าเป็นลูกกษัตริย์ เป็นเจ้าหญิงแห่งกรุงศรีอยุธยา คำกราบทูลท้องกับเจ๊กก็อาจจะหลุดออกมาได้เช่นกัน

การเมืองเรื่องข้างใน

การที่พระเจ้าตากทรงรับเอาเจ้าจอมทั้งสี่มารับราชการนั้น ดูเหมือนจะเป็นการสร้างสงครามเย็นขึ้นที่พระราชฐานฝ่ายใน ซึ่งปรกติก็มีบรรยากาศของการชิงพื้นที่เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับอำนาจให้มากที่สุดอยู่แล้ว เมื่อมาประกอบกับพื้นฐานเบื้องหลังของเจ้าจอมทั้งสี่ ยิ่งน่าคิดว่า เหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ใหญ่กว่า เป็นเรื่องในอดีตที่พระบิดาของแต่ละพระองค์สร้างไว้

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระราชบิดาของเจ้าประทุม มีความขัดแย้งกับกรมหมื่นจิตรสุนทร หนึ่งในเจ้าสามกรมที่คิดโค่นบัลลังก์, กรมหมื่นจิตรสุนทร พระบิดาของเจ้าบุปผา ขัดแย้งกับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และกรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งทรงสนับสนุนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ถึงขั้นจะโค่นบัลลังก์สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์คืนให้กับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร 

หรือพูดให้ชัดคือ พ่อของเจ้าประทุม เป็นผู้สั่งประหารพ่อของเจ้าบุปผา

กรมหมื่นเทพพิพิธ พระบิดาของหม่อมเจ้าอุบล ขัดแย้งกับกรมหมื่นจิตรสุนทร เป็นฝ่ายต้านรัฐประหารจนทำให้กรมหมื่นจิตรสุนทรต้องถูกประหาร, กรมหมื่นเทพพิพิธ พระบิดาของ หม่อมเจ้าอุบล ถูกพระเจ้าตากประหารหลังศึกพิมาย

ทั้งสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นเทพพิพิธ ต่างก็เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ต่างพระราชมารดากัน มีเพียงหม่อมเจ้าฉิม พระธิดาในเจ้าฟ้าจีดเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ได้มีความขัดแย้งในศึกสายเลือดครั้งนี้ และท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ยอมตายตามเสด็จพระเจ้าตาก

แต่อดีตของท่านก็ไม่ต่างจากเจ้านายพระองค์อื่น คือ พระองค์ดำพระบิดาของเจ้าฟ้าจีดก็ถูกพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระสั่งประหาร ส่วนเจ้าฟ้าจีดนั้นทรงไปยึดเมืองเจ้าพระยาพิษณุโลก ระหว่างความวุ่นวายในสงครามเสียกรุงภายหลังก็ถูกเจ้าพระยาพิษณุโลกจับถ่วงน้ำสิ้นพระชนม์

จะเห็นได้ว่าเจ้าจอมทั้ง พระองค์ ล้วนแต่มีบาดแผลในใจ ไม่เพียงแต่ต้องยอมรับราชการในแผ่นดินกรุงธนบุรี โดยเฉพาะหม่อมเจ้าอุบล ต้องมาเป็นเจ้าจอมของผู้ที่ประหารพระบิดา แล้วยังต้องแวดล้อมไปด้วยศัตรูทางการเมืองของพ่อที่ฆ่าฟันกันมา จึงเป็นการยากที่สงครามเย็นจะไม่เกิดขึ้นในราชสำนักฝ่ายในของกรุงธนบุรี

ดังนั้นความผิดต่าง ๆ ที่เจ้าจอมกลุ่มนี้สร้างขึ้นไม่ว่าจะจงใจ หรือเหตุการณ์บังคับก็ตาม ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] ลำดับสกุลเก่า บางสกุล ภาคที่ 4 สกุลเชื้อสายพระราชวงศ์กรุงธนบุรี (ฉบับร่าง), (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, 2480), . ()

[2] ...กุหลาบ. มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ เล่ม 1 ว่าด้วยลำดับวงศ์ตระกูลขุนนางไทยทั้งสิ้นในแผ่นดินสยาม. (พระนคร : โรงพิมพ์สยามประเภท, .. 134), . 429.

[3] คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง, (กรุงเทพฯ : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยฯ, 2534), . 45

[4] คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษร[1]นิติ์, (พระนคร : คลังวิทยา, 2515), . 143.

[5] พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, (กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, 2516), . 286.

[6] นายต่อ (แปล). มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2545), . 270.

[7] พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, . 197.

[8] เรื่องเดียวกัน, . 297.

[9] มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า, . 271.

[10] พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, . 298.

[11] เรื่องเดียวกัน, . 316.

[12] เรื่องเดียวกัน, . 334.

[13] กรมหลวงนรินทรเทวี. จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่ .. 1129-1182). (กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, 2546), . 55.

[14] พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, . 334.

[15] จดหมายความทรงจำฯ, . 55.

[16] เรื่องเดียวกัน, . 55.

[17] เรื่องเดียวกัน, . 56.

[18] เรื่องเดียวกัน, . 57.

[19] เรื่องเดียวกัน, . 58.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 ตุลาคม 2562