เจ้าชายสายมืดแห่งบรูไน เจ้าของฮาเรมที่รวมสาวงามจากทั่วโลกไม่เว้นแม้ “ผู้เยาว์”

เจ้าชายเจฟรี โบลเกียห์ (ซ้าย) ในงานฉลองวันชาติเมื่อปี 2004, AFP / AFP FILES / ROSLAN RAHMAN

เจ้าชายเจฟรี โบลเกียห์ (Prince Jefri Bolkiah) พระอนุชาองค์เล็กซึ่งเคยเป็นคนโปรดของสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียร์ (Sultan Hassanal Bolkiah) แห่งบรูไนในยุคที่เศรษฐกิจของประเทศเฟื่องฟูจากการค้าน้ำมัน ก่อนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแห่งเอเชีย (1997) ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ตามไปด้วย จากที่เคยเป็นคู่หูแสวงหาความสำราญขององค์สุลต่าน เจ้าชายเจฟรี ถึงกับต้องเนรเทศตัวเองออกนอกประเทศ หลังถูกสุลต่านกล่าวหาว่าพระองค์ยักยอกทรัพย์สินของแผ่นดิน

ในปี 1983 สุลต่านโบลเกียห์ได้แต่งตั้งให้เจ้าชายเจฟรีเป็นผู้อำนวยการสำนักงานการลงทุนแห่งบรูไน (Brunei Investment Agency, BIA) ซึ่งดูแลเรื่องรายได้ของการค้าน้ำมันของประเทศ 3 ปี ต่อมายังได้แต่งตั้งให้เจ้าชายเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ขณะเดียวกันเจ้าชายยังเป็นเจ้าของกิจการก่อสร้างของตัวเองในชื่อ Amedeo Development Corporation (ADC) ซึ่งได้งานทั้งโครงการของรัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

Advertisement

สุลต่านโบลเกียห์ และเจ้าชายเจฟรี ถือเป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดกันมาก ทั้งคู่เคยขับรถหรูเฟอร์รารีแข่งขันกันบนถนนกลางกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันยามค่ำคืน เป็นเพื่อนล่องเรือยอร์ช ซึ่งเจ้าชายเจฟรีตั้งชื่อไว้อย่างอีโรติกว่า “Tits” (นม) “Nipple 1” และ “Nipple 2” (หัวนม 1 และ หัวนม 2)

นอกจากนี้ ในการจัดงานปาร์ตี้ของทั้งคู่ ว่ากันว่ามีการจัดกิจกรรมที่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลามรวมอยู่ด้วย และยังถูกกล่าวหาว่าได้ส่งแมวมองไปทั่วโลกเพื่อหาหญิงงามมาเป็นนางบำเรอในฮาเรมของตน

ในปี 1997 นางงามสหรัฐฯ แชนนอน มาร์เกติก (Shannon Marketic) ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทั้งเจ้าชายเจฟรีและสุลต่านเป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอ้างว่า เธอและหญิงอื่นอีก 6 คน ได้รับการว่าจ้างเป็นเงินคนละ 127,000 ดอลลาร์ เพื่อเดินทางไปโชว์ตัวที่บรูไนและร่วมการ “สนทนาประเทืองปัญญา” กับบรรดาแขกผู้มีเกียรติ แต่พวกเธอกลับถูกบังคับให้ตกเป็นทาสบำเรอกาม

มาร์เกติก ยังได้เล่าถึงความลุ่มหลงของสาวๆบรูไนในตัวเจ้าชายเจฟรี เช่นผู้ช่วยสาวรายหนึ่งของเจ้าชายเองถึงกับกล่าวว่า “มันคงเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฉันหากฉันได้รับอนุญาตให้ร่วมหลับนอนกับเจ้าชายเจฟรี เพราะว่าท่านเป็นดั่งสมมติเทพ เช่นเดียวกับพระเยซู คริสต์ของชาวคริสเตียน”

อย่างไรก็ดี ข้อกล่าวหาของมาร์เกติกถูกยกฟ้อง เนื่องด้วยสถานภาพของการเป็นสมาชิกราชวงศ์ ทำให้เจ้าชายเจฟรีได้รับความคุ้มกันจากการดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่เพียงเท่านั้นก็สร้างความเสื่อมเสียอย่างมากให้กับพระองค์และราชวงศ์ในต่างประเทศ แม้ว่าประชาชนภายในประเทศจะมิได้รับรู้มากนักเนื่องจากการวิจารณ์ราชวงศ์ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในบรูไน

จิลเลียน ลอเรน (Jillian Lauren) เป็นหญิงอเมริกันอีกรายที่อ้างว่าตนเคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตในฮาเรมของเจ้าชายเจฟรี เธอเล่าผ่านหนังสือของเธอว่า การมีเพศสัมพันธ์ของเธอกับพระองค์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีอารมณ์ร่วม และยังไม่มีการสวมเครื่องป้องกัน แต่เธอถือได้ว่าเป็นคนโปรดขององค์ชายซึ่งพระองค์ได้แสดงความชื่นชมในตัวเธออย่างสูงสุดด้วยการส่งต่อเธอให้กับองค์สุลต่าน

อลิสัน แลงดอน (Alison Langdon) จากรายการ 60 Minutes ของออสเตรเลีย ซึ่งเคยสัมภาษณ์ลอเรนกล่าวว่า “เธอ (ลอเรน) เข้าไปอยู่ในฮาเรมตอนอายุ 18 ปี ซึ่งในนั้นมีสาวๆอีกกว่า 30-40 คน บางคนมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น”

เมื่อถึงปี 1998 ช่วงเวลาอันชื่นมื่นของเจ้าชายเจฟรีเริ่มหมดลง ประเทศที่เคยใช้จ่ายคล่องตัวเริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ เจ้าชายเจฟรีถูกกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์มูลค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างที่พระองค์ดูแลสำนักงานการลงทุนแห่งบรูไน ทำให้พระองค์ถูกสั่งปลดจากทุกตำแหน่ง และถูกสั่งอายัดทรัพย์ ก่อนสุลต่านโบลเกียห์จะสั่งฟ้องเจ้าชายเจฟรีในปี 2000 ซึ่งเบื้องต้นข้อพิพาทดังกล่าวจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าชายเจฟรียินยอมมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ในทั่วทุกมุมโลกกลับคืนแก่บรูไน ไม่นานจากนั้นพระองค์จึงได้เดินทางออกนอกประเทศ

แม้จะได้ข้อตกลงยอมความแล้ว แต่การต่อสู้ทางกฎหมายของสองพี่น้องยังคงดำเนินต่อไปนานนับสิบปีเมื่อองค์สุลต่านกล่าวหาว่าเจ้าชายเจฟรียังซุกซ่อนเงินไว้ในบัญชีลับ และยังมิได้โอนทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่ให้ตามสัญญาระงับข้อพิพาท จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2009 เจ้าชายเจฟรีจึงมีโอกาสได้เดินทางกลับบรูไนอีกครั้ง หลังสุลต่านพึงพอใจกับการปฏิบัติตามสัญญาของเจ้าชายแล้ว


อ้างอิง:

Vanity Fair (The Prince Who Blew Through Billions),

news.com.au (Sex, lies and Sharia Law: The secret life of the Sultan of Brunei),

New York Times (The Royal Treatment; Ruling Family Feuds as Oil Income Drops in Brunei)