
ผู้เขียน | สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เครื่องบินล่องหนสเตลธ์ เทคโนโลยีแสนแพงของสหรัฐ ที่พลิกโฉมสงครามมาแล้วกว่า 4 ทศวรรษ
เป็นความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า ท่ามกลางความสูญเสียมหาศาลและกลิ่นคาวเลือด “สงคราม” คือสนามฝึกซ้อมและประลองอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีและมีประสิทธิภาพสูง อย่าง “สเตลธ์” (Stealth) เครื่องบินรบล่องหนของกองทัพสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด สเตลธ์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในวันที่ 22 มิถุนายน 2025 เมื่อสหรัฐอเมริกาใช้เครื่องบินล่องหนรุ่น B-2 Spirit บรรทุกระเบิด GBU-57 ซึ่งเป็นระเบิดเจาะอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ (Massive Ordnance Penetrator-MOP) น้ำหนัก 13,000 กิโลกรัม สามารถเจาะคอนกรีตได้ประมาณ 18 เมตร หรือเจาะพื้นดินได้ประมาณ 16 เมตร โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเครื่องบินสเตลธ์ในการทำลายเป้าหมาย ที่เครื่องบินรบประเภทอื่นไม่สามารถทำลายได้

เปิดที่มา “สเตลธ์” เทคโนโลยีสุดล้ำของสหรัฐ
เครื่องบินล่องหนสเตลธ์ มีจุดกำเนิดจากความต้องการอย่างเร่งด่วนของสหรัฐในทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิด “สงครามยมคิปปูร์” (Yom Kippur War) ในปี 1973 โดยเป็นสงครามที่สหรัฐหนุนหลังอิสราเอลทำสงครามกับโลกอาหรับ และอยู่ในช่วงที่สหรัฐกำลังทำ “สงครามเวียดนาม” (Vietnam War) ซึ่งสูญเสียกำลังพลและทรัพยากรไปแล้วจำนวนมาก
ตอนนั้น หน่วยงาน Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) สังกัดกระทรวงกลาโหม ขอให้มีการพัฒนาเครื่องบินทหาร ที่ลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ คลื่นความร้อน หรือแสง ให้น้อยที่สุด เพื่อลดโอกาสที่ระบบตรวจจับของศัตรูจะจับสัญญาณ เพราะเครื่องบินของสหรัฐถูกศัตรูตรวจจับสัญญาณเรดาร์ได้อย่างง่ายดายในระยะทางหลักร้อยไมล์หรือไม่กี่สิบไมล์จนถูกยิงตก
เมื่อศัตรูตรวจจับสัญญาณได้ยากมากๆ เครื่องบินที่ใช้เทคโนโลยีนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “เครื่องบินล่องหน” นั่นเอง

กองทัพสหรัฐพัฒนาเครื่องบินรบล่องหนสเตลธ์โดยเก็บเป็นความลับสุดยอด และมีการทดสอบเครื่องบินต้นแบบในปี 1977 (ต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องบินรบล่องหนรุ่น F-117 Nighthawk) ซึ่งระหว่างการพัฒนาทีมงานต้องประสบปัญหาหลายอย่าง ที่สำคัญคือเครื่องบินต้นแบบตกหลายครั้งระหว่างการทดสอบ
หลังผ่านการพัฒนา ปรับปรุง และทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า เครื่องบินรบล่องหนลำแรกก็ถูกส่งแบบลับๆ ไปยังกองทัพอากาศในปี 1982
แม้จะนำเครื่องบินล่องหนสเตลธ์มาใช้ในกองทัพแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความลับอยู่ดี กระทั่งเดือนพฤศจิกายน ปี 1988 สาธารณชนถึงได้เห็นเครื่องบินรบล่องหนรุ่น B-2 Spirit ส่วนเครื่องบิน F-117 ที่ใช้มาก่อนหน้า เปิดตัวต่อสาธารณชนในเดือนเมษายน ปี 1990 หลังจากนำเครื่องบินรุ่นนี้ไปปฏิบัติการในปานามา ปี 1989 หรือเพียง 4 เดือนก่อนเปิดตัว

เครื่องบินล่องหนกับปฏิบัติการในสงคราม
สหรัฐพัฒนาเครื่องบินสเตลธ์ขึ้นมาหลายรุ่น อย่าง เครื่องบินรุ่น F-117 ซึ่งมีทั้งหมด 59 ลำ ก่อนจะยุติการผลิตในปี 1990 มีบทบาทครั้งแรกใน สงครามปานามา (Panama War) ปี 1989
ต่อมาคือ สงครามอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf War) ปี 1990-1991 ที่แม้ว่าเครื่องบิน F-117 จะคิดเป็นเพียง 2.5% ของเครื่องบินกองทัพอากาศฝ่ายพันธมิตร แต่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ถึง 40% ของเป้าหมายยุทธศาสตร์ทั้งหมด และเป็นเครื่องบินประเภทเดียวที่ได้รับอนุญาตให้บินเข้าโจมตีเป้าหมายในกรุงแบกแดดของอิรัก ทั้งยังใช้ใน สงครามอิรัก (Iraq War) ปี 2003-2011
ส่วน เครื่องบินรุ่น B-2 Spirit ที่ปัจจุบันมี 19 ลำ ใช้ในปฏิบัติการสำคัญๆ หลายครั้ง เช่น ปี 1999 ร่วมปฏิบัติภารกิจใน สงครามคอซอวอ (Kosovo War) ที่กองกำลังองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ทิ้งระเบิดในยูโกสลาเวีย รวมถึงปฏิบัติการใน สงครามอิรัก
สหรัฐยังใช้เครื่องบินรบล่องหนสเตลธ์ในการแทรกแซงทางทหารในลิเบีย ปี 2011 และใช้ในการปฏิบัติการต่างๆ ในอัฟกานิสถานอีกด้วย

แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพลาด
ความล้มเหลวครั้งใหญ่ของเครื่องบินล่องหนสเตลธ์เกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อเครื่องบิน F-117 ลำหนึ่งถูกขีปนาวุธของเซอร์เบียยิงตกระหว่างการทิ้งระเบิดในสงครามคอซอวอ นับเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินสเตลธ์ถูกยิงตกในขณะปฏิบัติการจริง
ส่วนเครื่องบิน B-2 Spirit ยังเกิดปัญหาถ้าปฏิบัติภารกิจช่วงฝนตกหนัก เพราะน้ำฝนจะไปทำลายสารเคลือบสเตลธ์
อีกทั้งการที่เครื่องบินสเตลธ์ต้องบรรทุกเชื้อเพลิงและอาวุธในตัวเครื่อง ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเครื่องบินรบทั่วไป หากปฏิบัติงานผิดพลาดอาจเกิดอันตรายครั้งใหญ่ได้
ข้อจำกัดอีกอย่างของเครื่องบินรบล่องหนสเตลธ์คือ “ต้นทุน” แสนแพง
อย่างเครื่องบิน B-2 Spirit มีราคาผลิตเฉลี่ยลำละกว่า 730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 2.4 หมื่นล้านบาท) หากรวมชิ้นส่วนอะไหล่ การอัปเกรด และการสนับสนุนทางเทคนิค มูลค่าอาจขึ้นไปแตะ 930 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 3.07 หมื่นล้านบาท) ทั้งยังมีค่าบำรุงรักษาเฉลี่ย 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 112 ล้านบาท) ต่อเดือนต่อลำ และต้องมีโรงเก็บเครื่องบินที่มีระบบปรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อรักษาคุณสมบัติสเตลธ์
เมื่อโลกเห็นเครื่องบินล่องหนสเตลธ์เมื่อไหร่ อาจพอสันนิษฐานได้ว่า สหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ “เอาจริง” กับปฏิบัติการนั้นๆ
แต่ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องเห็นเลยจะดีที่สุด เพราะนั่นย่อมหมายถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นมหาศาล ไม่ว่าพื้นที่ไหนบนโลกนี้ก็ตาม
อ่านเพิ่มเติม :
- วิลเลียม เอ็ดเวิร์ด โบอิ้ง เศรษฐีค้าไม้ ผู้ก่อตั้ง “โบอิ้ง” บริษัทผลิตเครื่องบินใหญ่สุดในโลก
- 18 มิถุนายน ค.ศ. 1965 สหรัฐเปิดฉากยุทธการอาร์กไลต์ ส่งเครื่องบิน “B-52” ทิ้งระเบิดโจมตีเวียดกง
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
บีบีซี ไทย. “เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเหตุสหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน”.
Air & Space Forces Magazine. “History of Stealth: From Out of the Shadows”.
Britannica. “F-117 | Stealth Fighter, Nighthawk, USAF”.
Air & Space Forces Magazine. “Two Decades of Stealth”.
Reuters. “US B-2 bombers and bunker-busters used in Iran strike”.
GlobalSecurity.org. “F-117A Nighthawk”.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 มิถุนายน 2568