ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“พระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 4” ถึงเจ้านายกัมพูชา กับคำแนะนำการเมืองจากลุงสู่หลาน
หลังการเสด็จสวรรคตของ “สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี” หรือนักองค์ด้วง อดีตกษัตริย์ของกัมพูชา (ครองราชย์ พ.ศ. 2383-2403) บ้านเมืองภายในก็มีความปั่นป่วนระหว่างพระราชโอรส ว่าด้วยเรื่องทรัพย์มรดก ระหว่าง “องค์พระนโรดมพรหมบริรักษามหาอุปราช” หรือ นักองค์ราชาวดี (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร) และ นักองค์วัตถา (หรือนักองค์ศรีวัตถา)

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้การเมืองภายในเกิดการแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ “องค์พระนโรดมพรหมบริรักษามหาอุปราช” และ “องค์พระหริราชดนัยไกรแก้วฟ้า” หรือ นักองค์สีสุวัตถิ์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์) ส่วนอีกฝ่ายคือกลุ่มของนักองค์วัตถาและสนองโสจางวางมีมโนแก้ว ผู้เป็นน้าของนักองค์วัตถา

ด้วยเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงนักองค์ราชาวดี และนักองค์สีสุวัตถิ์ ว่าด้วยความเห็นและคำแนะนำต่าง ๆ ในศึกการเมืองครั้งนี้ ซึ่งทางฝั่งสยามสนับสนุนนักองค์ราชาวดีเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของกัมพูชาต่อไป
เรื่องราวที่ปรากฏใน พระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 4
รัชกาลที่ 4 ทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ใน “พระราชหัตถเลขา ที่ ๕ พระราชหัตเลขา ถึงองค์พระนโรดมแลองค์พระหริราชดนัย ณ กรุงกัมพูชา” ได้ความอย่างสรุปว่า

พระองค์ทรงทราบถึงเรื่องที่นักองค์ราชาวดี นักองค์สีสุวัตถิ์ มีปัญหากับนักองค์วัตถา ในตอนแรกรัชกาลที่ 4 ทรงมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าให้นักองค์วัตถา และนักองค์ศิริวงศ์ พระราชโอรสอีกพระองค์ของนักองค์ด้วงเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ เครือข่ายของกลุ่มที่สนับสนุนนักองค์วัตถาก็จะไม่มีที่พึ่ง และก็จะเข้าอ่อนน้อมกับฝ่ายนักองค์ราชาวดีเช่นเดิม
ทว่าอำนาจของสนองโสจางวางมีมโนแก้วกลับเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ทรงเห็นว่ากำลังของเมืองอุดงมีไชย ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจขององค์พระนโรดมฯ น่าจะพอต่อกรสู้ได้
แต่ผ่านไป รัชกาลที่ 4 กลับทรงไม่ได้ใบบอกจากสองพี่น้องแห่งกัมพูชา และทรงทราบทีหลังว่ากลุ่มสนองโสเริ่มกำเริบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทรงสงสัยว่าสรุปแล้วเมืองอุดงมีไชยสามารถสู้ได้จริง หรืออยากจะสู้จริงหรือไม่
ขณะนั้นนักองค์วัตถากับพวกเข้ามาอยู่ที่เมืองพระตะบอง แม้จะมีใบบอกจากกรุงเทพฯ ให้นักองค์วัตถาเข้ามายังกรุงเทพฯ แต่ก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าเจ็บป่วย รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งกองทัพไปยังเขมรเพื่อหวังจะสร้างความยำเกรง
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ทรงมองว่าอาจจะเป็นการสร้างความวิตกให้กับกลุ่มนักองค์ราชาวดี กลัวจะมองว่ากรุงเทพฯ หันไปให้การสนับสนุนนักองค์นักวัตถา ดังปรากฏในหลักฐานว่า
“เพราะเห็นใบบอกของเธอนั้นก็ห่างไป เป็นที่ให้คำนึงว่าพวกสนองโสจะเกลี้ยกล่อมกันสกัดหนทางปิดเสีย ไม่ให้ใบบอกมาได้กระมัง เมื่อเป็นดังนี้การก็ควรที่กรุงเทพฯ จะแต่งกองทัพ ให้แม่ทัพมีกำลังเป็นที่ยำเยงเกรงกลัวของพวกเขมรที่วุ่นวายคุมไพร่ออกไปอยู่ที่เมืองพระตะบอง
แล้วส่งตัววัตถากับศิริวงศ์ เข้ามา แลกำราบพวกเมืองพระตะบอง เสียให้คงอยู่ในการสำหรับเมืองพระตะบอง โดยปรกติอย่าให้พลอยอ้อแอด้วยวัตถาไป แต่เพราะไม่ได้ให้เธอทั้ง 2 รู้ก่อน ว่าจะให้กองทัพออกไปนั้นด้วยความประสงค์ดังว่านี้
ก็วิตกไปว่า ถ้ารีบให้กองทัพออกไปเมืองพระตะบองโดยเร็ว เกลือกพวกเธอจะเห็นไปว่าที่กรุงเทพฯ ก็เข้าด้วยวัตถาให้กองทัพออกไปช่วยวัตถา”
เวลาผ่านไปไม่นาน ราชสำนักกรุงเทพฯ ก็ได้ใบบอกจากฝั่งนักองค์ราชาวดี ว่าอยากขอให้กองทัพสยามไปช่วย เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงทราบก็ยินดียิ่ง และ “จัดให้เจ้าพระยามุขมนตรีศรีสุนทรบวรราชมหามาตยาธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ ที่สมุหานายกในพระบวรราชวัง กับพระยาสิงหราชฤทธิไกร ยุตินัยเนติธาดามหาประเทศาธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ ผู้รักษากรุงเก่า คุมไพร่พลพอสมควรเป็นกำลัง”
เอาให้เพียงแค่ข่มขวัญเขมรที่เข้าพวกฝั่งพระตะบองรู้จักเกรงกลัว
กองทัพเหล่านี้ได้ไปช่วยกลุ่ม นักองค์ราชาวดี ซึ่งขณะนั้นได้ยกครอบครัวและไพร่พลมากมายจากเมืองอุดงมีไชยไปอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ และรัชกาลที่ 4 ก็ทรงคาดว่าศึกครั้งนี้คงจะเจรจากันได้ ไม่ควรใช้อาวุธสู้รบกัน
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หน้างาน ให้นักองค์ราชาวดีกับขุนนางเขมรไปติดสินใจร่วมกับฝ่ายกองทัพสยามกันเอาเอง

นอกจากนี้ รัชกาลที่ 4 ยังทรงให้คำแนะนำเรื่องเมืองท่า พระองค์ทรงมองว่า “เมืองกำปอดนั้นเป็นเมืองท่าน ลูกค้าต่างประเทศจอดเรือค้าขายแลมีฝรั่งอังกฤษขึ้นตั้งห้างค้าขายอยู่ก็มาก ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่า เมื่อเขมรเมืองดอนกระด้างกระเดื่องแกเธอทั้ง ๒ ดังนี้
เกรงจะมีโจรผู้ร้ายใจกำเริบเข้าปล้นฤๅแย่งชิงลูกค้าวานิชที่เข้ามาจอดเรือค้าขาย แลตั้งห้างค้าขายอยู่ที่เมืองนั้น ให้เขาเสียสิ่งของเป็นอันตรายต่างๆ
เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าของทรัพย์เขาจะไปร้องแก่เมืองเดิมของเขา ให้แต่งผู้รับบังคับมาต่อว่าที่กรุงเทพฯ แลให้พามาต่อว่าให้เธอทั้ง ๒ เสียเงินใช้ให้ก็จะเป็นการยากลำบากนัก”
พระองค์จึงทรงให้ขุนนางสยามนำเรือ 2 ลำไปช่วยรักษาเมืองกำปอด เพื่อไม่ให้โจรมาปล้นชิงหรือทำร้ายพ่อค้าต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อฝ่ายนักองค์ราชาวดีในเวลาต่อมา
รัชกาลที่ 4 ยังทรงให้คำแนะนำอีกมากมาย ทั้งเรื่องการใช้ฝีปากเพื่อโน้มน้าวชาวเขมร โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้ากับนักองค์วัตถา ความสำคัญของการมีอาวุธในมือ การที่สยามจะส่งอาวุธให้ไปต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ
ก่อนพระองค์จะกล่าวไว้ในตอนท้าย ๆ ว่า
“จดหมายนี้ข้าพเจ้าให้มาถึงเธอทั้ง ๒ ก็เป็นการนอกธรรมเนียมเหมือนกับลุงป้าอาว์น้าให้มาถึงหลาน เพราะเห็นแก่องค์สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีผู้บิดา เคยรักใคร่สนิทกันมาแต่ก่อนมิใช่เป็นแต่นับถือสามัญว่าเป็นเจ้าประเทศราชเมืองขึ้นเท่านั้น
บัดนี้องค์สมเด็จพระหริรักษ์ฯ หาชีวิตไม่แล้ว บุตรชายหญิงมีอยู่เท่าไร ข้าพเจ้ารู้จักตัวดีก็ดี ไม่รู้จักตัวก็ดีข้าพเจ้าเมตตาปรานีหมดทุกคน คิดว่า เหมือนลูกหลานของตัวเป็นความสัตย์ความจริง ท้องตราตามอย่างธรรมเนียมก็ได้ให้มีมาฉบับ ๑ ด้วยแล้ว”
ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 4 ที่ทรงมีถึง “นักองค์ราชาวดี-นักองค์สีสุวัตถิ์” แห่งกัมพูชา ในยามวิกฤต
อ่านเพิ่มเติม :
- คำว่า “กัมพูชา” ชื่อของประเทศกัมพูชา มาจากไหน แปลว่าอะไร?
- รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ผนวช 2 กษัตริย์กัมพูชา มีพระองค์ใดบ้าง?
- เจ้าในการเมืองกัมพูชา? เมื่อ “ฮุน เซน” ไม่ใช่เจ้า แต่รัฐสั่งให้เรียก “สมเด็จ” นำหน้านายกฯ
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระฯ, 2347-2411. พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมครั้งที่ 1. [ม.ป.ท.]:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2496. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568. https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:193197.
https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๙๖-เรื่องเมืองเขมร
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 มิถุนายน 2568