ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
หนองโสน เป็นพื้นที่สำคัญหนึ่งของตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา จุดก่อกำเนิดราชธานีสมัยแรกเริ่ม มีซากโบราณสถานเก่าแก่หลายแห่ง
พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ นิทาน ตำนาน และบันทึกชาวต่างชาติ พอจะประมวลได้ว่า พระเจ้าอู่ทองได้ตัดสินพระราชหฤทัยย้ายเมืองข้ามฟากแม่น้ำจาก “เวียงเหล็ก” (หรือเวียงเล็ก) ไปตั้ง ณ ศูนย์กลางแห่งใหม่ที่ “หนองโสน” โปรดให้สร้างพระราชวัง พระที่นั่งต่างๆ ริมหนองโสน
ขณะกำลังก่อร่างสร้างเมืองอยู่นั้นได้ขุดพบสังข์ทักษิณาวัตร (หอยสังข์ที่มีก้นเวียนขวาเป็นของมงคลหายาก) อยู่ใต้ต้นหมันที่เกาะกลางหนองโสน ถือเป็นฤกษ์ดีมีชัย หลังจากนั้นก็ยกวังเก่าของท่านที่ “เวียงเหล็ก/เวียงเล็ก” สร้างวัดหลวงชื่อ “วัดพุทไธศวรรย์” (ภายหลังตราประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาใช้รูปสังข์ใต้ต้นหมันนี้ด้วย)
พงศาวดารของนายฟาน ฟลีต (Jeremias van Vliet) (หรือ วันวลิต) ชาวฮอลันดาที่ฟังเรื่องเล่าชาวกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นมา กลับเสนอเรื่องออกแนวอภินิหารว่า พระเจ้าอู่ทองทรงต่อสู้กับ “มังกร” หรือ “พระยานาคราช” ที่เฝ้าบ่อน้ำกลางเมืองอยุธยา เมื่อมังกรโมโหจะพ่นพิษใส่น้ำทำให้ผู้คนเจ็บป่วยล้มตาย จึงต้องปราบมังกร ถมบ่อน้ำเสียเลย จากนั้นสร้างเมืองใหม่ขึ้นนามว่ากรุงศรีอยุธยา
หนองโสนของพระเจ้าอู่ทองผ่านสมัยการใช้งานต่างๆ มาทำให้มีสภาพเปลี่ยนไปบ้าง แรกเริ่มคงเป็นหนองน้ำธรรมชาติกว้างใหญ่ มีเกาะแก่งกระจายอยู่ภายในหนอง เพราะเป็นจุดลุ่มต่ำที่อยู่กึ่งกลางแม่น้ำอ้อมโค้งมาเจอกันหลายสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก (ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชัยภูมิที่อยุธยาถูกเลือกเป็นเมือง)
มองไปรอบๆ หนองโสน เจออะไร?
ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี หนองโสนคงมีชุมชนบ้านเรือนและวัดวาอารามตั้งอยู่หนาแน่น เพราะเป็นใจกลางเมืองหลวง ครั้นพอราชธานีร่วงโรยลงหลัง พ.ศ. 2310 หนองโสนก็กลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งในสภาพป่าพง
พ.ศ. 2500 มีโครงการบูรณะพระนครศรีอยุธยา หนองโสนก็พลิกฟื้นสภาพเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาในความดูแลของกรมศิลปากร
ขอบเขตของหนองโสนมีดังนี้ ทิศเหนือของหนองโสนมีวัดธรรมิกราช วัดญาณเสน วัดชุมแสง เป็นวัดขนาดใหญ่เรียงต่อกัน ทิศใต้นั้นก็มีแนวถนนโบราณคั่น (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย) ทิศตะวันออกเป็นวัดมหาธาตุ ทิศตะวันตกประชิดกับพระราชวังหลวงและวัดพระราม วัดขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกๆ ของอยุธยา หนองโสนจึงมีชื่อเรียกขึ้นมาอีกว่า “บึงพระราม” ซึ่งเชื่อว่าย่อมาจาก “บึงริมวัดพระราม” และยังมีอีกชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นคือ “บึงชีขัน” หรือ “บึงยี่ขัน”

ขอบเขตของหนองโสนไม่กว้างมากนัก ปัจจุบันมีสะพานเชื่อมเกาะเล็กๆ ในพื้นที่โบราณสถานที่เป็นวัดเก่าแก่สำคัญที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาในอดีต เช่น
วัดโพง วัดเล็กๆ ที่มีเจดีย์ประธาน เรียกว่า “เจดีย์ทรงปราสาทยอด” องค์ประกอบนั้นคือส่วนฐานบัวลูกฟักซ้อนลดหลั่นกันรองรับเรือนธาตุที่มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป 4 ด้าน เหนือขึ้นไปเป็นชั้นซ้อน ก่อนจะเป็นองค์ระฆังกลม ส่วนยอดหักหายไปแล้ว
เจดีย์ทรงปราสาทยอดนี้ไม่ใช่รูปแบบศิลปะอยุธยา แต่เป็นอิทธิพลจากล้านนาและสุโขทัยในช่วงประมาณ พ.ศ. 1900-2000 การพบเจดีย์ที่มีอิทธิพลสุโขทัยในพื้นที่แรกเริ่มอย่างหนองโสนนั้น แสดงความสัมพันธ์ของกรุงศรีอยุธยากับรัฐทางตอนเหนือในด้านเครือญาติและศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
วัดสังขปัต ที่มีเพียงเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยมตั้งเป็นประธาน กับชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายวางกองอยู่ เจดีย์แบบนี้มีผังพื้นแปดเหลี่ยมฐานซ้อนสูง เจาะคูหาเป็นโพรงเข้าไปในฐานคล้ายจะเป็นห้อง ด้านบนนั้นคือเรือนธาตุ ที่มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 8 ทิศ (แต่หลุดร่วงลงมาเกือบหมด) แต่เดิมย่อมมีองค์ระฆังต่อด้วยยอดทรงกรวยแหลมขึ้นไป แต่ได้หักหายไปเสียแล้ว
หากอธิบายด้วยความรู้ทางประวัติศาสตร์ศิลปะจะพบว่า เจดีย์วัดสังขปัตนี้มีความเกี่ยวข้องด้านรูปแบบกับเจดีย์ในศิลปะหริภุญชัยทางภาคเหนือ คือ “รัตนเจดีย์” ที่วัดจามเทวีเมืองลำพูน ก่อนจะลงมานิยมสร้างกันในแถบเมืองสุพรรณบุรีและสรรคบุรี อันเป็นเมืองโบราณทางฝั่งตะวันตกของกรุงศรีอยุธยามาก่อน แสดงถึงอายุที่ค่อนข้างเก่าแก่ขึ้นไปถึงช่วงอยุธยาตอนต้น
มันจึงเป็นพยานหลักฐานของความสัมพันธ์ของผู้คนที่กรุงศรีอยุธยายุคแรกเริ่มกับรัฐสุพรรณภูมิ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของกรุงศรีอยุธยา และต่อสายโยงใยขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือเช่นกัน
นอกจากนี้ชื่อวัด “สังขปัต” ยังอาจมีความหมายถึง “หอยสังข์ทักษิณาวัตร” ที่ในตำนานการสร้างกรุงศรีอยุธยาว่าขุดพบที่หนองโสนแห่งนี้ ตำแหน่งที่ตั้งของวัดสังขปัตจึงน่าจะย้อนให้เรากลับคืนสู่จุดกำเนิดของแรกเริ่มสุดก็เป็นได้ว่า เป็นวัดซึ่งสร้างขึ้นเป็นนิมิตสำคัญในการสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้หรือเปล่า?
ข้ามจากเกาะวัดสังขปัตมาจะเจอวัดหลังคาดำ มีเจดีย์ทรงระฆังฐานแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่กับวิหารเล็กๆ ถ้ามองจากวัดนี้ไปทางเหนือกลางสนามหญ้าที่เป็นขอบหนองโสนทางทิศเหนือ จะพบกับวัดที่มีหน้าตาถอดแบบกันมาเลยเหมือนพี่น้องกัน นั่นคือวัดหลังคาขาว
เจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยมของวัดหลังคาขาว-วัดหลังคาดำ เป็นรูปแบบที่นิยมกันสืบมาจากวัดของกลุ่มชาวสุพรรณภูมิ อันเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยายาวนานนับร้อยปี ประมาณว่า พ.ศ. 1912 จนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกใน พ.ศ. 2112 เจดีย์แปดเหลี่ยมแบบนี้จึงสันนิษฐานกันว่า เป็นของที่ราชวงศ์สุพรรณภูมินำพาเอามาจากลุ่มน้ำทางตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาในสมัยอยุธยาตอนต้น
วัดนก ในพระราชพงศาวดารชื่อวัดนกเคยปรากฏว่า เป็นย่านที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดให้ครัวเรือนชาวมอญที่ติดตามพระองค์กลับมาจากเมืองหงสาวดี เมื่อราว พ.ศ. 2127 พร้อมทั้งพระสงฆ์องค์สำคัญคือ พระมหาเถรคันฉ่อง มาตั้งบ้านเรือนอยู่ท้ายวัดนกนี้ ดังนั้น เมื่อถึงสมัยอยุธยาตอนปลายจึงมีบันทึกว่า มี “ตลาดมอญ” อยู่ระหว่างวัดนกกับวัดโพง ขายของจำพวกเครื่องทองเหลืองต่างๆ เช่น ถาด พาน ฯลฯ
ปรางค์ของวัดนกทรวดทรงป้อมเตี้ย มีคูหาทางเข้าด้านหน้ายื่นออกมาและมีปรางค์องค์เล็กๆ ตั้งเหนือมุข, งานปูนปั้นประดับที่เหลือบางจุดยังเห็นลวดลายแบบอยุธยาตอนต้น เช่น ลายกรวยเชิง-เฟื่องอุบะ นักประวัติศาสตร์ศิลปะวิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า เป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น
วัดนกตั้งอยู่แทบประชิดกำแพงวัดมหาธาตุ สันนิษฐานว่า น่าจะมีมาก่อนวัดมหาธาตุที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1917 อันเป็นหมุดหมายได้ว่า บริเวณนี้คงจะเก่าแก่ขึ้นไปถึงสมัยแรกที่สถาปนากรุงศรีอยุธยา เช่นเดียวกับวัดแห่งอื่นๆ ที่กระจายอยู่รอบหนองโสนหรือบึงพระรามที่กล่าวมาก่อนแล้ว การสร้างวัดมหาธาตุขึ้นภายหลังใกล้วัดนก คงพอจะชี้ให้เห็นได้ว่า คนรุ่นแรกเริ่มของอยุธยามองบริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของตัวเมืองนั่นเอง
ต้นกำเนิดของเมืองใหญ่ๆ พงศาวดารและนิทานการสร้างกรุงศรีอยุธยา โดยพระเจ้าอู่ทองนั้นพยายามบอกเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญกับพื้นที่ลุ่มต่ำหนองบึงใจกลางพระนครแห่งนี้เอาไว้ แม้ปริศนาว่า “มังกร” ที่คอยเฝ้าบ่อน้ำ หรือการค้นพบ “สังข์” บนเกาะใจกลางหนองโสนที่สุดท้ายแล้วอาจเป็นที่มาของชื่อวัดโบราณที่เรียกสืบกันมา และมีร่องรอยศิลปกรรมที่เก่าแก่ไปถึงสมัยแรกสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้จริง
อ่านเพิ่มเติม :
- ช้าง-สินค้าส่งออก สมัยกรุงศรีอยุธยา
- ความหมายเบื้องหลังเรื่องเล่า “พระเจ้าอู่ทอง” ปราบ “นาค” ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา
- ซ่องโสเภณี สมัยกรุงศรีอยุธยา มีแต่ลูกสาวขุนนาง!?
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ประภัสสร์ ชูวิเชียร. “หนองโสน บึงพระราม กำเนิดกรุงศรีอยุธยากลางหนองบึง” ใน, ศิลปวัฒนธรรม มกราคม 2566.
เผยแพร่ในระบบออนลไน์ครั้งแรกเมื่อ 25 สิงหาคม 2566