จักรวรรดิเมารยะ หลังสิ้น “พระเจ้าอโศกมหาราช”

พระเจ้าอโศกมหาราช แห่ง จักรวรรดิเมารยะ หรือ โมริยะ ไหว้พระสงฆ์ พระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราช ณ สังเวชนียสถาน, นวเชตวัน เมืองสาวัตถี (ภาพโดย Anandajoti Bhikkhu จาก flickr สิทธิ์การใช้งาน CC BY 2.0) - มีการตกแต่งกราฟิกเพิ่มโดย กอง บก.ศิลปวัฒนธรรม

จักรวรรดิเมารยะ (Maurya Empire) ในสมัยของ พระเจ้าอโศกมหาราช (268-232 ปีก่อนคริสตกาล) ถือเป็นช่วงเวลาที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และเรืองอำนาจที่สุด จักรวรรดิของพระองค์ครอบคลุมพื้นที่ตอนเหนือกับตอนกลางทั้งหมดของอินเดีย บริเวณบังกลาเทศ ปากีสถาน และบางส่วนของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน ส่วนทางทิศใต้แผ่ขยายลงมาจนเกือบสุดขอบอนุทวีปอินเดีย

ความนิยมทำสงครามและการประหัตประหารของพระเจ้าอโศกมหาราช มีส่วนสำคัญต่อการแผ่ขยายจักรวรรดิขนาดมหึมาที่พระองค์สืบทอดมรดกมาจาก พระเจ้าจันทรคุปต์ (Chandragupta) พระอัยกา ที่นักประวัติศาสตร์ยกย่องเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินอินเดียให้เป็นปึกแผ่น

หากพระเจ้าจันทรคุปต์คือผู้ทำให้อินเดียเป็นปึกแผ่น พระเจ้าอโศกมหาราช ถือเป็นผู้ที่หล่อหลอมความเป็นปึกแผ่นนั้นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทรงอำนาจมากขึ้น และแผ่ขยายอิทธิพลจากเดิมไปทั่วทุกสารทิศ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญในสมัยของพระองค์ ที่ชาวพุทธจดจำได้ขึ้นใจ คือ บทบาทในการน้อมรับและเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ รวมถึงดินแดนห่างไกลอื่น ๆ ที่อยู่พ้นไปจากดินแดนชมพูทวีป ดังปรากฏหลักฐานใน “เสาอโศก”

การขุดค้นพบเสาอโศกที่เมืองสารนาถ ค.ศ. 1905

ชะตากรรมของจักรวรรดิเมารยะหลังยุค พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นอย่างไร?

กล่าวอย่างสรุป คือ ราชวงศ์เมารยะค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลง จนสูญสิ้นความสามารถในการควบคุมดินแดนภายในพื้นที่ปกครองส่วนต่าง ๆ สุดท้ายจึงล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์ ภายใน 50 ปี หลังสิ้นสุดสมัยของพระองค์ ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจักรวรรดิขนาดใหญ่นี้บ้าง…

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชสิ้นพระชนม์ บรรดาพระราชโอรสของพระองค์ที่ถูกส่งไปปกครองดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิ มีความขัดแย้งกันเองสูงมาก พระเจ้าทศรถ (Dasharatha) พระราชนัดดาของพระเจ้าอโศกฯ เป็นผู้สืบราชสมบัติ และรับมรดกเป็นจักรวรรดิที่ถูกกร่อนเซาะจากภายใน จนเริ่มเห็นเค้าลางของการล่มสลายบ้างแล้ว

หลังสิ้นพระเจ้าทศรถ พระเจ้าสัมปราติ (Samprati) พระราชนัดดาจากพระราชโอรสอีกพระองค์ของพระเจ้าอโศกฯ ครองราชย์ต่อ ช่วงเวลานี้เองที่จักรวรรดิเมารยะเผชิญปัญหาการแปรพักตร์ของหัวเมืองต่าง ๆ ทางใต้ ทั้งภายใต้การนำของเหล่าเจ้าชายหรือพระราชวงศ์เอง กับบรรดาเจ้าเมืองท้องถิ่น เหล่านี้กลายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

มีจักรพรรดิราชวงศ์เมารยะครองราชย์ต่อจากพระเจ้าสัมปราติอีก 4 พระองค์ ในช่วงเวลาเพียง 31 ปี จากหลักฐานใน คัมภีร์ปุราณะ ของฮินดู เล่าว่า พระเจ้าศาลิศุกะ (Shalishuka) พระราชโอรสของพระเจ้าสัมปราติ ที่ครองราชย์ต่อจากพระราชบิดานั้นมีชื่อเสียงด้านร้าย ทั้งถูกกล่าวถึงในฐานะ “ทรราชย์” เสียเป็นหลัก ส่วนจักรพรรดิองค์ถัดมา ได้แก่ พระเจ้าเทววรมัน (Devavarman) พระเจ้าศตธันวัน (Shatadhanvan) และพระเจ้าพฤหทรถะ (Brihadratha) มักมีเรื่องวิวาทภายในราชวงศ์เกี่ยวกับตำแหน่งรัชทายาทอยู่เสมอ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อำนาจของราชวงศ์เมารยะค่อย ๆ เสื่อมอิทธิพลลงตามลำดับตั้งแต่สิ้นพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว เพราะเจ้าเมืองที่อยู่ใต้อาณัติต่างแยกตนเป็นอิสระ ขณะที่อำนาจส่วนกลางไม่เข้มแข็งพอจะควบคุมหรือปราบปรามได้ มีเพียงสมัยของพระเจ้าสัมปราติที่มีการกำราบดินแดนทางใต้สำเร็จ แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น

นอกจากนี้ จักรวรรดิเมารยะยังเผชิญการรุกรานจากภายนอก คือดินแดนอริทางตะวันตกเฉียงเหนือ นั่นคือ อาณาจักรบาคเตรีย (Bactria) ของกษัตริย์อินโด-กรีก ผู้สืบเชื้อสายขุนศึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์กรีกผู้พิชิตเปอร์เซีย เอเชียกลาง และบางส่วนของอินเดีย ทั้งอยู่ร่วมสมัยกับพระเจ้าจันทรคุปต์ พระอัยกาของพระเจ้าอโศกมหาราช

หลังสิ้นยุคสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ชาวกรีกได้สถาปนาอาณาจักรบาคเตรียในฐานะรัฐราชาธิปไตยปกครองชนพื้นเมืองบริเวณเอเชียกลางและอยู่ประชิดจักรวรรดิเมารยะมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว โดยมีกษัตริย์องค์สำคัญคือ เมดันเดอร์ที่ 1 (Menander I) หรือ “พระเจ้ามิลินท์” ราชาองค์เดียวกับที่ปรากฏในหนังสือ มิลินทปัญหา (Milinda Panha) นั่นเอง

เมแนนเดอร์ วาดตามภาพต้นแบบ โดย ม. วรพินิต

อีกภัยคุกคามของจักรวรรดิเมารยะ คือ การขยายอำนาจของพวก คุชชาน (Kushan) หรือกุษาณะ อนารยชนเผ่าเร่ร่อนจากเอเชียกลาง ซึ่งต่อมาสามารถสถาปนาราชวงศ์กุษาณะปกครองทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียได้สำเร็จเมื่อราว 200 ปีก่อนคริสตกาลด้วย

เฉกเช่นเดียวกับจักรวรรดิทั้งหลาย เมื่ออำนาจส่วนกลางไม่มั่นคง และต้องรับมือภัยคุกคามจากภายนอก มหาอาณาจักรของพระเจ้าอโศกมหาราช จึงค่อย ๆ ล่มสลาย ทั้งจากภายใน และ ภายนอก

จักรวรรดิเมารยะ หมดอำนาจอย่างสมบูรณ์ในปี 185 ก่อนคริสตกาล เมื่อ พระเจ้าพฤหทรถะ จักรพรรดิเมารยะองค์สุดท้าย ถูกขุนนางฮินดูตระกูล ศุงคะ (Shunga) ภายใต้การนำของผู้บัญชาการทหารนาม ปุศยมิตรา (Pushyamrita) ร่วมกับเหล่าพราหมณ์-ปุโรหิตทั้งปวง ยึดอำนาจและปลงพระชนม์พระองค์ นำไปสู่การสถาปนา ราชวงศ์ศุงคะ ขึ้นมาปกครองอินเดียในเวลาต่อมา…

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

NGThai, National Geographic (17 เมษายน 2563) : “พระเจ้าอโศก กษัตริย์อินเดียผู้น้อมรับพุทธศาสนาและปกครองผู้คนอย่างเป็นธรรม”. <https://ngthai.com/history/20715/ashoka/>

Anindita Basu, World History Encyclopedia (Oct 06, 2016) : “Mauryan empire. <https://www.worldhistory.org/Mauryan_Empire/>

Encyclopaedia Britannica (Retrieved Mar 16, 2023) : “Mauryan empire
ancient state, India”. 
<https://www.britannica.com/place/Mauryan-Empire>

National Geographic (Retrieved Mar 16, 2023) : “Mauryan Empire”. <https://education.nationalgeographic.org/resource/mauryan-empire/>

Digital Library of India , The Oxford History Of India (Retrieved Mar 16, 2023) : “Mauryan India”. <https://archive.org/details/in.ernet.dli.2015.99999/page/n121/mode/2up>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 มีนาคม 2566