ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2546 |
---|---|
ผู้เขียน | ภาษิต จิตรภาษา |
เผยแพร่ |
ในบทชมความงามของนางต่างๆ ในวรรณคดีไทยเรานั้น ส่วนมากท่านจะชมอย่างหลวมๆ, ไอ้โน่นนิด ไอ้นี่หน่อย แล้วก็สรุปว่า “งามอย่างนางฟ้า” บ้าง, “นางในใต้ฟ้าไม่มีสอง” บ้าง, “นางในธรณีไม่มีเหมือน” บ้าง, “นางในกรุงศรีไม่มีเทียม” บ้าง, “งามสิ้นสารพางค์” บ้าง, “สวยบาดตา” บ้าง, เช่น
นางจันท์สุดา (บทละคอนเรื่องคาวี) :-
“พระพินิจพิศโฉมจันท์สุดา นางในใต้ฟ้าไม่มีสอง
ผิวเนื้อเรื่อเหลืองเรืองรอง พักตร์ผ่องเพียงดวงจันทรา
อรชรอ้อนแอ้นเอวองค์ เนตรขนงน่ารักเป็นหนักหนา”.
นางรจนา (สังข์ทอง) :-
“พิศโฉมพระธิดาวิลาวัณย์ ผุดผาดผิวพรรณดังดวงเดือน
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในธรณีไม่มีเหมือน”.
นางพิมพิลาไลย (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“เณรใจบึกบึกนึกเป็นครู่ เหมือนเคยเล่นกับกูกูจำได้
ชื่อว่าสีกาพิมพิลาไลย สาวขึ้นสวยกะไรเพียงบาดตา”.
นางศรีมาลา (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“คนนี้แน่แล้วที่เราฝัน รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่
น้องเอ๋ยรูปร่างช่างกะไร นางในกรุงศรีไม่มีเทียม”.
เมื่อท่านไม่กล่าวถึงอย่างนี้ ก็ยากที่จะวิเคราะห์ ว่าอย่างไรจึงสวย.
อย่างนางบุษบาที่ว่ากันว่าสวยๆ ก็เหมือนกัน, ท่านก็ชมอย่างรวบๆ ว่า :-
“พักตร์น้องละอองนวลปลั่งเปล่ง ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ ดังกินรีลงสรงคงคาไลย
งามจริงพริ้งพร้อมทั้งสรรพางค์ ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน”.
นางจินตะหราก็เช่นกัน :-
“ดวงเอ๋ยดวงยิหวา งามอย่างนางฟ้ากระยาหงัน
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ ดังบุหลันทรงกลดหมดมลทิน
งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดังวงศิลป์
อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน งามสิ้นทุกสิ่งพริ้งพร้อม”.
นางเกษรา (พระอภัยมณี) :-
“ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์
นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน ช่างงามสิ้นสารพางค์สำอางองค์”.
แต่ก็มีบางบท ที่ท่านกล่าวอย่างรวบรัด แต่ก็เห็นความสวยและความตึง-เต่ง. เช่น
นางบุษมาลี (รามเกียรติ์ ร. ๒) :-
“ทรงโฉมประโลมเลิศลักขณา พักตราจิ้มลิ้มยิ้มแย้ม
ผิวเนื้อนวลละอองเป็นสองสี โอษฐนางอย่างลิ้นจี่จีนแต้ม
ขอบขนงก่งเหมือนดังเดือนแรม ทั้งสองแก้มเพียงพระจันทร์วันเพ็ง
เอวบางร่างรัดกำดัดสวาท ผุดผาดสารพัดครัดเคร่ง”.
อย่างนี้ไม่ใช่ “ตึง” เป็นบางส่วน, แต่ตึงทั้งตัว.
มีบ้างเหมือนกันที่ท่านกล่าวถึง, แต่บอกแต่ว่า “งาม”, ไม่รู้งามอย่างไร เช่น
นางมณโฑ (รามเกียรติ์ ร. ๑) :-
“พินิจพิศทั่วทั้งอินทรีย์ มีลักษณ์พริ้มพร้อมวิไลวรรณ
งามพักตร์งามขนงงามเนตร งามเกศงามจุไรงามถัน
งามโอษฐ์งามแก้มงามกรรณ งามพรรณผิวเนื้อดังทองทา”.
มีเป็นอันมากที่กล่าวถึง และเอาไปเปรียบกับดอกบัว เช่น
พระเพื่อนพระแพง (พระลอนรลักษณ์) :-
“โอษฐ์นางอย่างสีลิ้นจี่จิ้ม งามพริ้มเพราสมคมสัน
เกษาดำระยับขลับเป็นมัน ทนต์นั้นเทียมสีมณีนิล
สองถันสันทัดสัตบุษ เพิ่งผุดพ้นท่าชลาสินธุ์
ขึ้นบังใบใสสดหมดมลทิน ภุมรินมิได้มาใกล้เคียง”.
นางแก้วดารา (รามเกียรติ์ ร. ๑) :-
“พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดั่งดวงจันทร์ พิศขนงดั่งคันธนูศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐโอษฐเอี่ยมดั่งจะแย้ม พิศนาสิกแสล้มเฉิดฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศถันดั่งดวงประทุมาศ พิศศอวิลาศดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์ พิศทรงทรงงามจำเริญตา”
นางมิสาประหมังกุหนิง (ดาหลัง) :-
“นวลละอองผ่องแผ้วเพียงจันทร์ เมื่อวันเพ็งเปล่งเปรื่องไม่ราคิน
พิศเกศดังปีกแมลงทับ จุไรรับกับขนงดังก่งศิลป์
นาสาดังขอคชรินทร์ เนตรน้องดังนิลมณีดี
โอษฐ์พริ้มตะละชาดแต้ม ยิ้มแย้มดังสลับทับทิมสี
พระทนต์เรียงเรียบระเบียบดี เป็นแสงสีดำขลับระยับตา
กรรณน้องดังกลีบบุษบง ศอกลมสมทรงดังเลขา
เต้าตั้งดังดอกประทุมา กลิ่นกล้าขึ้นพ้นชลที
กรน้องดังงวงไอยเรศ เมื่อประเวศกระหวัดหญ้าพนาศรี
นิ้วหัตถ์งามแฉล้มแช่มช้อยดี ทั้งอินทรีย์สมควรเร่งยวนใจ”.
นางบุษมาลี (รามเกียรติ์ ร. ๑) :-
“เห็นนางทรงลักษณ์วิไลวรรณ ผิวพรรณเพียงเทพอัปษร
พักตร์ผ่องดังดวงศศิธร แน่งน้อยอรชรทั้งอินทรีย์
ขนงก่งค้อมดังวาด โอษฐ์เอี่ยมดังชาดเฉลิมศรี
นัยน์เนตรเพียงเนตรมฤคี ปรางเปรียบมณีพรายพรรณ
ลำคอดั่งคอราชหงส์ เอวองค์ดังกินรีสวรรค์
สองกรดังงวงเอราวัณ สองถันดังดวงประทุมทอง”.
นางกากี (กากีคำฉันท์) :-
“กรคืองวงคช นิ้วน้อยช้อยชด นะแน่งน้อยทรง
วรลักษณ์สรัพสรรพ์ พิศถันคือบง- กชมาศผจง ตูมเต่งดวงมาลย์”
นางลาวทอง (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“เต้าตั้งดังดอกประทุมา เมื่อกลีบแย้มผกาเสาวคนธ์”.
นางสร้อยฟ้า (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“นางโฉมยงองค์นี้เป็นลูกหลวง
พึ่งเป็นสาวรุ่นร่างกระจ่างดวง ดูสองถันนั้นเป็นพวงผกาทิพย์
เหมือนโกมุทเพิ่งผุดหลังชลา พอต้องตาเตือนใจจะให้หยิบ”
สวยอย่างไรหรือ นมเหมือนดอกบัว. ลองตัดดอกบัวครึ่งดอกแล้วเอาตั้งบนอกราบๆ ดูซิ ว่ามันงามอย่างไร, เห็นได้แต่ความตูมตั้งอย่างเดียว. แต่เนื้อหนังมังสาของคนนั้นมันไม่อำนวยให้เป็นเช่นนั้น.
และก็มีไม่น้อย ที่ชมตรงๆ ตามธรรมชาติ เช่น
ธิดาท้าวมคธ (เสือโคคำฉันท์) :-
“ดวงนมอันครัดเคร่ง ตเต้าเต่งทั้งสองสม
แน่งนวยสลวยกลม ศุภสวัสดิไพบูลย์”
นางเมรี (กาพย์ขับไม้เรื่องพระรถ) :-
“พิศเนื้อเนื้อเกลี้ยง พิศนมนมเพียง เต่งเต้าตรึงตรา”.
นางประทุมวดี (ลิลิตเพ็ชรมงกุฎ) :-
“โอษฐเสียวสรวลว่าแย้ม ยวนรับ
ศอดั่งศอหงส์ขยับ ปีกหร้อน
ถันายุคลาคับ ทรวงเต่ง เต้าแม่
สรัพสรรพางค์อ่อนอ้อน นิ่มเนื้อนวลผจง”
นางวิมาลา (ไกรทอง) :-
“สองเต้าเต่งตั้งอยู่ทั้งคู่ พิศดูนงรามงามขำ
ดูสง่าน่าเล่นเคล้นคลำ จับจูบลูบทำให้อิ่มใจ”
นางพิมพิลาไลย (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“ว่าพลางเกลียวกลมสมสนิท กอดชิดจูบถนอมหอมกระแจะ
เต้าเคร่งเต่งตั้งดังจะแยะ เลียมและโลมลูบให้หลับพลัน”
นางสายทอง (ขุนช้าง-ขุนแผน) :-
“จูบแก้มแนมนมขยำยั้ง เต้าตั้งเต่งโตอล่างฉ่าง
เอนเอียงเคียงกอดสอดนาง เป่ามนต์พลางลูบหลังให้ลานใจ”
ดังได้กล่าวแล้ว ว่านมคนนั้นเป็นเนื้อหนังมังสา จะให้ตั้งเด๊ะอย่างดอกบัวนั้นย่อมไม่ได้, ยิ่ง “เต่งโต” ด้วยยิ่งแล้ว, ย่อมมีน้ำหนักถ่วงให้คล้อย. เช่นนั้น นมที่สวยตามธรรมชาติ (ไม่ใช่ฉีด) เต้าจะต้องคล้อยลงหน่อยหนึ่ง แล้วปลายเต้าช้อนหัวนมงอนขึ้นนิดๆ ดังในขุนช้าง-ขุนแผนกล่าวไว้ :-
“ขอโทษพี่เถิดเจ้าจงเอาบุญ อย่าเคืองขุ่นคั่งแค้นเฝ้าแหนหวง
นมเจ้างอนงามปลั่งดั่งเงินยวง ประโลมล่วงน้องหน่อยอย่าน้อยใจ”
นอกจากงอนขึ้นแล้ว, ยังจะต้องเบนออกจากกันอีกด้วย ดังใน “วนวัลลรี” ของ “แสงทอง” บอก :-
“พระอุรภาคซึ่งพระเต้าสตันตึง เบ่งเบนออกจากกันน้อยๆ คล้ายสาวสองพี่น้องแหนงใจกัน”.
ใช่แต่เท่านั้น ยังต้องประกอบด้วย “ฐาน”, คือฐานนมทั้งสองเต้าต้องชิดกัน ดังในสมุทรโฆษว่า :-
“สองนมชชิดวิจิตรใน อกอาสน์แก้วโฉมเฉลา”.
ยิ่งเบียดชิดกันขนาดทัดดอกไม้ได้ยิ่งดี ดังในขุนช้าง-ขุนแผนพรรณนา :-
“ใส่ตุ้มหูซ้ายขวาระย้าย้อย เอวบางร่างน้อยนมถนัด
ดังประทุมตูมเต่งเคร่งครัด จำปาทัดถันได้ไม่ลอดทรวง”
ใน “อลิจุมพิตา” ของ “แสงทอง” ก็กล่าวสอดคล้องในข้อนี้ :-
“บัวแดงดอกเดียวสีดังโลหิต เสียบก้านอยู่หว่างหนีบแห่งความนูนของสองนม”.
นมที่เต่ง-โต โดยฐานไม่ชิดกันนั้น ก็เรียกได้ว่านมโตเท่านั้น, ไม่ใช่นมสวย (จงจินตนาการดูว่า โตชิดกับโตห่างนั้นต่างกันอย่างไร).
สรุปแล้ว นมสวยคือนมที่ตั้งเต้าตูมเต่งจนฐานนมชิดกัน และปลายเต้าคล้อยลงนิดๆ หัวนมงอนขึ้นหน่อยๆ และเบนออกจากกันน้อยๆ.
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาออนไลน์เมื่อ 24 กันยายน 2561