คนไทยสมัย ร. 4 หลงใหล “L-POP” หนักหนา เคยนิยมกันมาก่อน K-POP ฮิตกันสมัยนี้

ลาวแคน (หรือลาวแพน) คือลาวเป่าแคน หรือขับฟ้อนในกรุงเทพฯ [ภาพและคำบรรยายภาพจาก “พลังลาว” ชาวอีสาน มาจากไหน--สุจิตต์ วงษ์เทศ]

ปรากฏการณ์คนไทยหลงใหลวัฒนธรรมต่างชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เห็นได้จากศิลปกรรมและวัฒนธรรมหลายๆ อย่างของบ้านเราที่มีลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะจากประเทศ หรืออาณาจักรเพื่อนบ้าน ซึ่งแม้แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก็ทรงชื่นชมในศิลปะเขมรโบราณเป็นอย่างยิ่ง จนเคยมีพระราชดำริให้รื้อปราสาทเขมรมาไว้ในกรุงเทพฯ มาแล้ว ด้วยทรงเห็นว่า จะเป็นเกียรติยศไปภายหน้า

แต่เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า ชาวบ้านชาวช่องพากันแห่แหน “วัฒนธรรมลาว” โดยเฉพาะดนตรีแบบลาว ก็ทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระราชหฤทัยแม้จะทรงเห็นว่า การมีวัฒนธรรมที่หลากหลายจะเป็น “เกียรติยศบ้านเมือง” แต่ก็ต้องยึด “ไทย” เป็นพื้น ดังพระบรมราชโองการดำรัสแก่ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า

Advertisement

เมืองไทยเป็นที่ประชุมชาวต่างเพศต่างภาษาใกล้ไกลมากด้วยกันมานานแล้ว การเล่นการฟ้อนรำขับร้องของภาษาอย่างต่างๆ เคยมีมาปะปนเป็นที่ดูเล่นฟังเล่นต่างๆ สำราญ เป็นเกียรติยศบ้านเมืองก็ดีอยู่ แต่ถ้าของเหล่านั้นคงอยู่ตามเพศตามภาษาของคนนั้นๆ ก็สมควร หรือไทยจะเลียนเอามาเล่นได้บ้าง ก็เป็นดีอยู่ว่าไทยเลียน ใครเลียนได้เหมือนหนึ่งพระเทศนามหาชาติว่าอย่างลาวก็ได้ ว่าอย่างมอญก็ได้ ว่าอย่างพม่าก็ได้ ว่าอย่างเขมรได้ก็เป็นดี แต่จะเอามาเป็นพื้นไม่ควร ต้องเอาอย่างไทยเป็นพื้น อย่างอื่นๆ ว่าเล่นได้แต่แหล่หนึ่งสองแหล่

กระแสความนิยมในดนตรีลาว หรือจะเรียกโดยอนุโลมตามสมัยปัจจุบันได้ว่า “L-POP” คงจะหนักหนาเอาการในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงขนาดที่นักดนตรีไทยต้องขายเครื่องไม้เครื่องมือทำกิน เพราะคนหันไปนิยม “ลาวแคน” กันเสียหมด ดังความที่ทรงบรรยายว่า

ชาวไทยทั้งปวงละทิ้งการเล่นสำหรับเมืองตัวคือปี่พาทย์มโหรีเสภาครึ่งท่อน ปรบไก่สักรวาเพลงไก่ป่าเกี่ยวข้าวแลละครร้องเสียหมด พากันเล่นแต่ลาวแคนไปทุกหนทุกแห่งทุกตำบลทั้งผู้ชายผู้หญิง จนท่านที่มีปี่พาทย์มโหรีไม่มีผู้ใดหา ต้องบอกขายเครื่องปี่พาทย์เครื่องมโหรี ในที่มีงานโกนจุกบวชนาคก็หาลาวแคนเล่นเสียหมดทุกแห่ง ราคาหางานหนึ่งแรงถึงสิบตำลึง สิบสองตำลึง

พระองค์ยังทรงเห็นว่า การที่ไทยไปเอาการละเล่นแบบลาวมาเป็น “พื้นเมือง” เป็นการไม่เหมาะสม เนื่องจากไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นลาว และยังทรงกังวลว่า การที่คนไทยหันไปเล่นลาวแคนยังมีผลทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลด้วย

การที่เป็นอย่างนี้ ทรงพระราชดำริเห็นว่าไม่สู้งามไม่สู้ควรที่การเล่นอย่างลาวจะมาเป็นพื้นเมืองไทย ลาวแคนเป็นข้าของไทยๆ ไม่เคยเป็นข้าลาว จะเอาอย่างลาวมาเป็นพื้นเมืองไทยไม่สมควร ตั้งแต่พากันเล่นลาวแคนมาอย่างเดียวก็กว่าสิบปีแล้ว จนการตกเป็นพื้นเมือง แลสังเกตดูการเล่นลาวแคนชุกชุมที่ไหน ฝนก็ตกน้อยร่วงโรยไป ถึงปีนี้ข้าวในนารอดตัวก็เพราะน้ำป่ามาช่วย

ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงมีพระบรมราชโองการขอให้คนไทยงดการเล่นลาวแคนเสียสักหนึ่งถึงสองปี เพื่อดูว่า ฟ้าฝนจะงามไม่งามอย่างไรต่อไปข้างหน้า ผู้ใดมิฟังยังขืนเล่นลาวแคนอยู่ จะให้เรียกภาษีให้แรง ใครเล่นที่ไหนจะให้เรียกเจ้าของที่แลผู้เล่น ถ้าลักเล่นจะต้องจับปรับให้เสียภาษีสองต่อสามต่อ

ฟังดูแล้วน่าจะพอกล่าวได้ว่า “K-POP” ที่ว่าหลงใหลในสมัยนี้ ในอดีตก็ต้องบอกว่ามี “ลาวแคน” หรือ “L-POP” สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ได้รับความนิยมสูงถึงขนาดนักดนตรีไทยตกอับต้องขายเครื่องมือทำมาหากินทิ้ง แถมยังมีผลถึงฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลอีก จนรัชกาลที่ 4 ต้องทรงสั่งห้ามเล่นจริงจังถึงขั้นกำหนดบทลงโทษมาแล้ว และแม้ว่าทุกวันนี้ คนไทย (ในเมือง) จะไม่นิยม “ลาวแคน” สักเท่าไร แต่ความนิยมนี้ก็ยังลงเหลือตกทอดอยู่ในแผ่นดินไทยมาได้อีกนับร้อยปีมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว. รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 กันยายน 2564