วรรณคดีไทยเรื่องใด ของใคร ยืมโครงเรื่อง-ตัวละคร-ฉาก ฯลฯ จากพงศาวดารจีน

หุ่นขี้ผึ้ง สุนทรภู่ ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม วรรณคดีไทย
หุ่นขี้ผึ้งสุนทรภู่ ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม

วรรณคดีไทย หลายเรื่อง ตัวละครหลายตัว ผู้แต่งหยิบยืมเค้าโครงมาจาก “พงศาวดารจีน” มาปรุงให้มีกลิ่นอายเป็นไทยอ่านสนุก มีเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน

เริ่มจากวรรณคดียอดฮิต “พระอภัยมณี” ของสุนทรภู่ ที่ “ยืมฉาก” และ “ยืมความสามรถของตัวละคร” ใน พงศาวดารจีน เรื่อง ไซ่ฮั่น (บ้างเรียก ชิดก๊กไซ่ฮั่น) โดยยืมฉากที่ เตียวเหลียง เสนาธิการคนสำคัญของหลิวปัง วางแผนเป่าปี่ให้ทหารของฌ้อปาอ๋องหมดกำลังใจในการต่อสู้ ระลึกถึงครอบครัวบ้านละทิ้งหน้าที่ จนทำให้หลิวปังได้ชัยชนะ

“…ที่จากบ้านมาต้องกระทำศึกอย่างนั้น บิดามารดาแลบุตรภรรยาอยู่ภายหลังก็ยื่นคอคอยอยู่แล้ว ถึงมีเรือกสวนแลไร่นาก็ทิ้งรกร้างไว้ไม่มีผู้ใดกระทำ เพื่อนบ้านที่เขาไม่ต้องไปทัพอยู่พรักพร้อมกัน ก็อุ่นสุรากินเล่นเป็นสุข

น่าสงสารผู้ที่จากบ้านช่องมาหลายปีนั้น ที่บิดามารดาแก่ชราอยู่ป่วยเจ็บล้มตายเสียหาได้เห็นใจบิดามารดาไม่ แลตัวเล่าก็ต้องกระทำศึกอยู่ฉะนี้ ถ้าเจ็บป่วยล้มตายก็จะกลิ้งอยู่กลางแผ่นดินแต่ผู้เดียว บุตรภรรยาแลญาติพี่น้องก็มิได้ปฏิบัติรักษากันเป็นผีหาญาติมิได้ ถ้าแต่งตัวออกรบครั้งไรก็มีแต่ฆ่าฟันกัน กระดูกแลเนื้อถมแผ่นดินลงทุกครั้งดูสังเวชนัก…”

สุนทรภู่เอาฉากนี้มากำหนดเป็นความสามารถของ พระอภัยมณี ที่มีเพลงปี่เป็นอาวุธและเคยใช้เป่าปี่ห้ามทัพของนางละเวง ที่แต่งเป็นคำกลอนว่า

“พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต   ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง

ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง   อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย

ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้   ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย

โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย   น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร

หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น   ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร

แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน   จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง

วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่   พวกโยธีทั้งทวนชะเวนเขนง

ลงนั่งโยกโงกหลับทับกันเอง   เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป”

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า “…สังเกตเห็นได้ในเรื่องพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่ง ซึ่งสมมติให้พระอภัยมณีมีวิชาชำนาญการเป่าปี่ ก็คือเอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับค่าเพลงปี่ของพระอภัยมณี ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าถ่ายมาจากกันเป็นแท้…ด้วยเมื่อรัชกาลที่ 1 สุนทรภู่เป็นข้าอยู่ในกรมพระราชวังหลัง [ทรงเป็นผู้อำนวยการแปลไซฮั่น] คงได้ทราบเรื่องไซ่ฮั่นมาแต่เมื่อแปลที่วังหลัง

ถัดมาเป็นการยืม “ตัวละคร” อย่าง “นาจา” โดยหยิบชีวิตนาจา จากนิยายอิงพงศาวดารเรื่อง “ห้องสิน” ที่แปลเป็นภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 มาเป็นแต่งเป็นนิทานคำกลอนเรื่อง “โกมินทร์” (ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง) โดยโกมินทร์ตัวเอกของเรื่องมีลักษณะคล้ายนาจาหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น

นาจาและโกมินทร์เป็นเด็กผู้ชาย มีนิสัยชอบเที่ยวเล่น มีกำลังมาก กล้าหาญ มุทะลุดุดัน และต่างก็มีของวิเศษ ทั้งสองต่างไม่ลงรอยกับครอบครัว นาจาคิดแค้นบิดาและติดตามสังหารถึง 3 ครั้ง ส่วนโกมินทร์ตามแก้แค้นบิดา 1 ครั้ง และยังมีฉากชีวิตคล้ายกัน เช่น นาจาวิวาทกับบุตรชายพญามังกร โกมินทร์ก็เคยไปรบกับพญานาค เป็นต้น

คราวนี้ก็ยืมมากขึ้นมาอีกนิดคือ “ยืมโครงเรื่อง” จากพงศาวดารเรื่อง “ห้องสิน” เช่นเดิม สุนทรภู่ยืมเค้าโครงเรื่องห้องสินมาใช้ในแต่ง “อภัยนุราช”  

เนื้อเรื่องย่อของห้องสิน คือ ติวอ๋อง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง เสด็จไปไหว้เทพธิดาหนึงวาสีที่ศาล เห็นรูปสลักของนางงดงาม ก็เขียนโคลงแสดงความกำหนัดที่มีต่อนางไว้บนฝาวัด เทพธิดาจึงส่งปีศาจจิ้งจอกมาล่อลวงติวอ๋อง ให้ลุ่มหลงจนลงโทษควักดวงตาพระมเหสีตามที่ปีศาจจิ้งจอกยุยง และละเลยราชการ ไพร่ฟ้าจึงก่นด่าทั้งแผ่นดิน

ต่อมา จิวบุ๋นอ๋อง เจ้าแคว้นแห่งหนึ่ง ที่เคยถูกสั่งขังลูกชายถูกฆ่าพ้นโทษ ลักลอบซ่องสุมกำลังพลเพื่อโค่นล้มติวอ๋องโดยมีเกียงจูแหยเป็นที่ปรึกษาจนสามารถกระทำการสำเร็จ สถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์จิว (ราชวงศ์โจว) ศึกครั้งนี้มีผู้คนล้มตายมาก เกียงจูแหยรับเทวโองการ ให้แต่งตั้งวิญญาณนักรบและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรบระหว่างของทั้งสองฝ่ายให้เป็นดาวหรือเทพประจำถิ่นตามความเชื่อของจีน

บทละครเรื่องอภัยนุราชนี้ สุนทรภู่แต่งในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

เนื้อเรื่องว่า ท้าวอภัยนุราชเสด็จไปล่าสัตว์ แต่กลับยิงไม่ถูกสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ผู้เฒ่าคนหนึ่งทูลว่าพระองค์มิได้บวงสรวงศาลเทพารักษ์ เทพารักษ์จึงไม่ให้สัตว์ในป่าแก่พระองค์ ท้าวอภัยนุราชได้ฟังก็กริ้วสั่งให้เผาศาล เทพารักษ์ถูกเผาศาลจึงคิดแก้แค้น หักคอนางศรีสาหงแล้วเข้าสิงมาทำให้ท้าวอภัยนุราชหลงรัก ทรงเชื่อฟังทุกประการและไม่เสด็จออกว่าราชการ ถึงขนาดทรงควักดวงตาพระมเหสีเพื่อใช้เป็นยารักษาตา (ที่แกล้งบอด) ของนางศรีหงสา เมื่อท้าวอภัยนุราชเห็นว่าดวงตาของนางหายบอด ก็ยินดีมาก

เรื่องอภัยนุราชนี้ อาจารย์ถาวร สิกขโกศล แสดงความคิดเห็นไว้ว่า “เรื่องนี้ [ห้องสิน] มีอิทธิพลต่อสุนทรภู่และนักเขียนอื่นไม่น้อย บทละครเรื่องอภัยนุราชซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลงานสุนทรภู่นั้น นำเรื่องตอนพระเจ้าติวอ๋องหลงนางขันก็สั่งควักลูกตาพระนางเกียงฮองเฮามาแปลงเป็นบทละคร เพราะเนื้อเรื่องเหมือนกันเกือบทุกประการ…”

ยังมี วรรณคดีไทย เรื่องที่หยิบยืม…จาก พงศาวดารจีน อีกหรือไม่ พงศาวดารจีนที่เราคิดว่าเป็นต้นแบบนั้น “หยิบยืม” จากที่อื่นมาอีกทีหรือเปล่า บทความนี้ก็ขอเป็น “อิฐล่อหยก” แล้วกัน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

พงศาวดารจีนไซ่ฮั่น ฉบับกรมศิลปากรตรวจสอบ พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลโท พระยาอภัยสงคราม (จอน โชติดิลก) ณ เมรุพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กําหนดงานวันที่ 9 พฤศจิกายน 2508

กรมศิลปากร. ชิดก๊กไซ่ฮั่น, คณะกรรมการจัดทำหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, พิมพ์ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2545

กรมศิลปากร. “อภัยนุราช” ใน, รวมนิทาน บทเห่กล่อม และสุภาษิตของสุนทรภู่, กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อร่วมโครงการฉลอง 200 ปี กวีเอกสุนทรภู่ พ.ศ.2529

ถาวร สิกขโกศล. “ชวนอ่านเรื่องห้องสิน” ใน, ห้องสิน สถาปนาเทวดาจีน, สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ พฤศจิกายน 2549


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 พฤษภาคม 2564