บ่อนพนันย่านฝั่งธน สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดเที่ยงวันยันเที่ยงคืน

(ภาพประกอบเนื้อหา) เจ้าหน้าจับกุมนักพนันในบ่นการพนันแห่งหนึ่ง (ภาพจากห้องสมุดภาพมติชน)

ถ้าอาชีพเก่าแก่หนึ่งในโลกนี้คือ “โสเภณี” สันทนาการเก่าแก่ (อย่างหนึ่ง) ในโลกคงหนีไม่พ้น “การพนัน” เมื่อการพนันเป็นสันทนา เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้คน และสังคมรอบข้างมาอย่างยาวนาน

หลวงเมือง (พ.ศ. 2471-2563) นักเขียนอาวุโส ที่เกิดและโตในย่านตลาดพลู ฝั่งธนบุรี เขียนเรื่อง “การพนัน” (ศิลปวัฒนธรรม, เมษายน 2560) เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของคนในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปด้วย

ตลาดพลูสมัยนั้นคงเฟื่องฟูไม่น้อย มีโรงฉายภาพยนตร์ 2 โรง ซึ่งคนทั่วไปเรียก “วิก” นานๆ ครั้งจึงมีละครหรืองิ้วมาสลับ วิกหนึ่งที่ว่านั้นเป็นตึกใต้ถุนสูง ข้างล่างจึงเปิดเป็น “ตลาดสดขนาดใหญ่” หลวงเมืองเองก็ไปจ่ายของที่ตลาดนี้ ท่านว่า “ซื้อกับข้าวตลาดนี้ตั้งแต่ปลาทูนึ่งเข่งละ 3 สตางค์ มีปลาทูตัวโตๆ 3-4 ตัว ส่วนปลาช่อนราว 1 ศอก ตัวละประมาณ 12 สตางค์”

นอกจากนั้นวิกแห่งนี้ยังมี “บ่อนการพนัน” อีกด้วย ชาวบ้านจึงเรียกวิกฉายภาพยนตร์นี้ว่า “วิกบ่อน”

หลวงเมืองเล่าว่า “เป็นบ่อนการพนันประเภท 1 ได้แก่ จับยี่กี บิงโก ไฮโล โปกำ ซึ่งบ่อนประเภท 1 นี้รัฐบาลไม่อนุญาตให้เปิดเล่น ส่วนประเภท 2 ได้แก่ ไพ่ผ่องจีนและผ่องไทย บิลเลียด เป็นต้น ซึ่งถ้าใครขอเปิดรัฐบาลจะอนุญาตให้เปิดได้ การพนันประเภท 1 นี้ช่วยให้ผู้ที่ไม่รู้หนังสือ รู้จักตัวเลขฝรั่งได้ก็มี เช่น “บิงโก”

แล้วมีสถานกาสิโนเกิดขึ้น ซึ่งเปิดที่วิกบ่อนนั่นเอง อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของคณะกรรมการ ซึ่งมีทั้งฝ่ายปกครองและครูอาจารย์

สถานกาสิโนนี้มีการพนันทุกอย่างที่เคยห้าม เช่น จับยี่กี เป็นต้น จับยี่กี คือ ไพ่จีน 12 ใบ ออกเสียงภาษาจีนว่า โอเผ่า อั้งเผ่า โอเฉีย อั้งเฉีย โอเบ๊ อั้งเบ๊ โอสือ อั้งสือ โอกือ อั้งกือ เป็นต้น โอ แปลว่า ดำ อั้ง แปลว่า แดง ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอันมาก”

สถานกาสิโนที่ว่าตั้งอยู่ใกล้กับวิกบ่อน เปิดตั้งแต่ 12.00-24.00 น. ผู้ที่จะเข้าไปในกาสิโนต้องบรรลุนิติภาวะเท่านั้น แต่หลวงเมืองเคย “แวบ” เข้าไปได้ และเล่าถึงบรรยากาศภายในว่า

“ข้าพเจ้าอายุยังไม่ถึงที่จะเข้าบ่อนได้ก็จริง แต่เคยแวบขึ้นไปดูบ้าง วันหนึ่งข้าพเจ้ามีสตางค์ติดตัวอยู่ 10 บาท ตอนนั้นพ่อเสียชีวิตแล้ว ตัดสินใจเอาเงิน 10 บาทนั้นไปแทงจับยี่กี โดยไปรออยู่ก่อนเที่ยงวันเล็กน้อย เวลานั้นอาแป๊ะเจ้ามือยังไม่ได้ใส่แว่นตา ข้าพเจ้าเห็นแกมองไปที่กระดานตารางที่มีชื่อไพ่อยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าต้องแทงตัวนั้น

ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวเบี้ยก็อุ้มขันน้ำมนต์แล้วทำพิธีพรมลงไปในหมู่ผู้ที่มาแทงจับยี่กี ซึ่งมีประมาณ 20 คน น้ำมนต์นี้เรียกว่าน้ำมนต์ “คัดของ” คือถ้าใครมีของดีอยู่ในตัว เช่น น้ำมันโปหรือว่านแสงอาทิตย์ ซึ่งถ้าทาที่เปลือกตาบนแล้วมองทะลุฝาครอบตัวไพ่หรือลูกเต๋าได้ ของนั้นก็จะเสื่อมลง

พอพรมน้ำมนต์เสร็จเจ้ามือจะหยิบกล่องไพ่ในถุงที่คล้องคอไว้ออกมาวางบนโต๊ะกระดาน พอเจ้ามือวางกล่องลงบนโต๊ะ คนที่มาเล่นก็วางเงินลงบนตารางช่องที่ตนต้องการ เมื่อคนเล่นวางเงินจนครบทุกคนแล้ว หัวเบี้ยจะเป็นคนเปิดตลับ

ครั้นหัวเบี้ยเปิดตลับออกมาและขานชื่อไพ่ที่เปิดนั้นให้ทุกคนได้ยินและเห็นไพ่ ปรากฏว่าข้าพเจ้าถูกคนเดียวได้เงินคืนมา 10 บาท และเงินรางวัลอีก 100 บาท แล้วหัวเบี้ยก็จะกวาดเงินคนที่แทงผิดไปทั้งหมด ข้าพเจ้ายกมือไหว้ไปที่อาแป๊ะเจ้ามือคนนั้น แต่อาเป๊ะเจ้ามือทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากนั้นข้าพเจ้าไม่เคยขึ้นไปบนสถานกาสิโนนั้นอีกเลยจนยุบเลิกไป”

ที่เคยได้ยินว่า “กาสิโน” ในฮ่องกงใช้ฮวงจุ้ยข่มนักเล่นพนัน นับว่าตลาดพลูก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน

เมื่อมีบ่อนกาสิโนขึ้น บ่อนกาสิโนเถื่อนอื่นๆ ที่แอบเปิดในเรือกในสวน หรือตามวัดร้างจะหายไปหมด เหลือแต่เพียงการเข้าไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มุ่งจะให้ถูกหวยอย่างเดียว

ขณะที่ชาวบ้านไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องหวยต่างๆ บางคนเมื่อเดินผ่านไปยังสวมสายสร้อยทองหนัก 3-4 บาท อีกสักไม่กี่ชั่วโมงเดินผ่านมาอีกที สายสร้อยทองก็ไม่มีแล้ว เมื่อคนชอบพอกันถามว่า “สายสร้อยไปไหน” เขาตอบว่า หายหรือขายก็ฟังไม่ชัด

ระหว่างนั้นซึ่งเป็นช่วงสงคราม ก็มีเครื่องบินมาโจมตีทางอากาศ บางครั้งก็ทิ้งระเบิดด้วย ไม่ว่านักพนันหรือชาวบ้านต่างก็ต้องวิ่งลงหลุมหลบภัย แต่ก็ยังไม่วายเปรียบเทียบการพนัน เช่น ถ้าลูกระเบิดตกลงมาในหลุมหลบภัยที่เราหลบอยู่นั้นก็เท่ากับถูกหวยเบอร์รางวัลที่ 1 แต่ถ้าเครื่องบินมาทิ้งระเบิดประตูรั้วบ้านพังไปหน่อยหนึ่งก็ถือว่าถูกเลข

 


เผยแพร่ข้อมูลในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 มกราคม 2564