
ผู้เขียน | พันธวัช นาคสุข |
---|---|
เผยแพร่ |
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 รัฐบาลสยามเริ่มให้ความใส่ใจต่อประชาชนมากขึ้น ในฐานะที่ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศและสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล รัชกาลที่ 6 ทรงเชื่อว่าประเทศจะดำเนินไปได้ถ้าประชาชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง จึงร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข เพื่อควบคุมการบำบัดโรค และออกกฎหมายด้านสาธารณสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การก่อตั้งกรมสาธารณสุขแห่งประเทศสยามขึ้น เพื่อควบคุมและดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของประชาชน และหาความรู้เกี่ยวกับคนที่เกิด แก่ เจ็บป่วย และเสียชีวิต รวมถึงการป้องกันระงับและทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ
โดยกลุ่มประชาชนที่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพร่างกายอย่างจริงจังคือกลุ่ม “ชายหนุ่ม” ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงเปรียบเทียบว่าเหมือน “ทหาร” ที่จะต้องแข็งแรงไม่อ่อนปวกเปียกขี้โรค เพราะว่า “คนที่ไม่แข็งแรงก็ไม่มีประโยชน์ในการสงคราม นับว่าอยู่เปลืองข้าวสุกเปล่า” และจะถูกเรียกว่า “ไม่ใช่ทหาร” ซึ่ง “…เท่ากับว่า ไม่ใช่ผู้ชาย…” (มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. “บทที่ 2 ความมุ่งหมายในการที่ตั้งกองเสือป่า. หน้า 12-27)
เมื่อสุขภาพของผู้ชายเปรียบเสมือนความมั่นคงของชาติ รัชกาลที่ 6 จึงพระราชนิพนธ์ “กันป่วย” ในฐานะหนังสือ “ช่วยตัวเอง (Self-help)” สำหรับผู้ชายในการดูแลร่างกาย เช่น อย่าดื่มเหล้า, อย่าสูบยา, อย่าหาโรคใส่ตัว และอย่าคบผู้หญิงไม่ดี โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทโสเภณี โดยโสเภณีถูกจัดประเภทให้อยู่สถานะเดียวกับเหล้าและฝิ่น เพราะเป็นพาหะของ “กามโรค” ที่บั่นทอนสุขภาพผู้ชาย
ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ทรงอธิบายว่ากามโรคคือความเจ็บป่วย และการร่วมเพศกับโสเภณีร้ายแรงยิ่งกว่าโรคภัยอื่น ๆ เพราจะทำให้ผู้ป่วยอ่อนแรงคล้ายคนพิการ ตามืด จมูกโหว่ และมีแผลลึก เป็นอันตรายแก่ข้อเข่าและถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ทรงเห็นว่ากามโรคคือความเจ็บป่วยทางสังคมมากกว่า ทรงแนะนำให้ปฏิบัติต่อผู้ป่วยกามโรคอย่างเข้มงวด โดยไม่ให้ผู้ป่วยใช้เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า และภาชนะที่ดื่มกินร่วมกับผู้อื่น และห้ามนั่งหรือนอนใกล้กัน หากจำเป็นต้องสัมผัสร่างกายต้องรีบทำความสะอาดทันที และระมัดระวังไม่ให้ผู้ป่วยสัมผัสร่างกายของเราให้น้อยที่สุด
รัชกาลที่ 6 ทรงคอยตักเตือนนักเรียนมหาดเล็กหลวงและนายในอยู่เสมอว่าให้คอยดูแลสุขภาพร่างกาย ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน และคบกับหญิงโสเภณี เพราะจะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ถึงกับออกกฎมณเฑียรบาลห้ามไม่ให้นายในแต่งงานกับหญิงโสเภณีเลยทีเดียว
นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพแล้ว รัชกาลที่ 6 ทรงส่งเสริมให้ผู้ชายเล่นกีฬา เพราะจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง กำยำ เพิ่มความอดทน มีระเบียบวินัย รู้จักรักษาความสะอาด มีความสามัคคี สร้างมิตรภาพระหว่างผู้ชาย และช่วยให้ผู้ชายไม่เสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์กับเหล้า ยาสูบ และผู้หญิง
โดยเฉพาะกีฬาเล่นเป็นทีมอย่าง “ฟุตบอล” ที่รัชกาลที่ 6 โปรดเป็นพิเศษ เนื่องจากการเสด็จประพาสปักษ์ใต้ พ.ศ. 2458 ทรงพบว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนปักษ์ใต้สนใจจำนวนมาก (ได้รับอิทธิพลจากรัฐมลายูที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ) หลังจากการเสด็จประพาสปักษ์ใต้ นายในที่ตามเสด็จก็เริ่มตั้งทีมฟุตบอลมาแข่งขันกับทีมนครศรีธรรมราช สร้างความพอพระราชหฤทัยอย่างมาก จนรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชอรรถาธิบายถึงฟุตบอลว่า
“…เปนสิ่งได้ให้ผลดีกว่าอย่างอื่นในการเพาะความรู้สึกเปนมิตร์ และชักนำให้บุคคลต่างหมู่ต่างเหลาได้มามีโอกาสพบปะกระทำความสามัคคีสนิมสนมซึ่งกันและกัน…เวลาใดที่คนหนุ่ม มาประชุมรวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันเป็นจำนวนมาก จะเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม ความคะนองอันเป็นธรรมดาแหง่วิสัยหนุ่มจำเป็นต้องมีทางระบายออกโดยอาการอย่างใด อย่างหนึ่ง…” (หจช., ร.6 บ. 8/1, นิสิตออกซ์ฟอร์ต (นามแฝง), เรื่องความนิยมฟุตบอลในเมืองไทย. ลงวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2458.)
รัชกาลที่ 6 จึงโปรดให้ก่อตั้ง “สมาคมฟุตบอลแห่งกรุงสยาม” ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2459 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ชายหันมาเล่นกีฬามากขึ้น และตั้งทีมชาติฟุตบอล “คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม” เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 เพื่อส่งเสริมความเป็นชาตินิยมให้กับนักกีฬา เพราะเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่ารัชกาลที่ 6 ทรงใส่ใจในสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ชายที่เปรียบเสมือนความมั่นคงของประเทศ จึงมีพระราชนิพนธ์ “กันป่วย” และส่งเสริมให้ผู้ชายเล่นกีฬา เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และมีร่างกายแข็งแรงกำยำสมกับเป็นชายชาติทหารของสยาม
อ้างอิง :
ชานันท์ ยอดหงส์. “นายใน” สมัยรัชกาลที่ 6. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. กันป่วย. ขอนแก่น : รุ่งเกียรติ, 2515
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 มิถุนายน 2562