
ผู้เขียน | พร่างพนานต์ ช่วงพิทักษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
จาก “ลูกสวาด” วัตถุอาถรรพ์มหาเสน่ห์ ถึง “ลูกสวาท” “ลูกสวาทสียาตรา” เรื่องรัก-เรื่องเล้นลับหลังชายผ้าเหลือง
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ๊ย ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาดศรียาตรา
ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้เป็นความบางส่วนที่คัดมาจาก ‘นิราศพระประธม’ หนึ่งในผลงานนิราศของ ‘สุนทรภู่’ ความส่วนที่ยกมานี้ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่ามีการกล่าวถึง “ลูกสวาด” และ “ลูกสวาดสียาตรา” หรือ “ลูกสวาทสียาตรา” “ลูกสวาทสียะตรา” ไว้ด้วย
โดย “สวาด” ที่ปรากฏเป็นคำแรกมีความหมายถึงพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง เมื่อออกผล ผู้คนมักนิยมนำเมล็ดไปทำพิธีจนกลายเป็นวัตถุอาถรรพ์มีฤทธิ์ในด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม หรือที่มักเรียกกันว่า “ลูกสวาด”
ส่วน “ลูกสวาทสียาตรา” นั้น มิใช่พันธุ์ไม้แต่ประการใด แต่มีความหมายอ้างอิงถึง เด็กผู้ชายที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่นิยมอุปการะไว้เพื่อโอ้อวดบารมี ผ่านเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับที่ลูกสวาทใส่ ทั้งยังรวมไปถึงการอุปการะไว้เพื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างพระผู้อุปการะและเด็กชายด้วย

ลูกสวาด : วัตถุอาถรรพ์มหาเสน่ห์
ลูกสวาด เป็นเมล็ดที่อยู่ภายในผลของต้นสวาด สามารถพบได้ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมักพบได้ตามป่าละเมาะใกล้ทะเล ผลของต้นสวาดจะมีลักษณะเป็นฝักรูปรี หรือขอบขนานแกมรูปรี มีขนยาวแหลมแข็งคล้ายหนาม ภายในแต่ละฝักจะมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเป็นเมล็ดกลมเปลือกแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 เซนติเมตร สีเทาแกมเขียว
คนสมัยโบราณนิยมพกลูกสวาดติดตัวไว้ เพราะเชื่อว่าจะให้ผลด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม มีแต่คนรักใคร่ เนื่องด้วยลูกสวาดนั้นมีชื่อพ้องเสียงกับคำว่า ‘สวาท’ [สะหฺวาด] ที่มีความหมายว่า ความรัก ความพอใจหรือความยินดีในทางกามารมณ์
นอกจากนี้ยังมีบุคคลบางกลุ่มที่เชื่อว่า ลูกสวาดเป็นวัตถุอาถรรพ์มีฤทธิ์ในตัวอยู่แล้ว หากนำไปให้อาจารย์ผู้มีวิชาอาคมปลุกเสกหรือลงอาคม ก็จะยิ่งทำให้ลูกสวาดเหล่านั้นมีฤทธิ์ในทางมหาเสน่ห์มากยิ่งขึ้นแก่ผู้ครอบครอง อีกทั้งในความเชื่อด้านไสยศาสตร์ การทำเสน่ห์บางวิธียังมีการใช้ลูกสวาดเป็นหนึ่งในวัตถุดิบประกอบพิธีกรรมอีกด้วย หากแต่ข้อเท็จจริงของผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็ล้วนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ลูกสวาทสียาตรา : เรื่องรัก เรื่องลับ หลังชายผ้าเหลือง
ลูกสวาทสียาตราหรือลูกสวาดสียะตรา เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กชายที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ หรือพระนอกรีตบางรูปนำมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งลูกสวาทเหล่านี้จะมีลักษณะต่างจากเด็กวัดทั่วไปคือ จะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มีการแต่งตัว ใส่เครื่องประดับให้แก่ลูกสวาท เพื่อโอ้อวดบารมีแข่งขันกันในหมู่พระที่เลี้ยงลูกสวาท
การเลี้ยงดูลูกสวาทนั้น นอกจากจะเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการโอ้อวดบารมีแล้ว ยังอาจเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของพระผู้อุปการะได้เช่นกัน ดังที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ได้มีการตรากฎพระสงฆ์ 10 ข้อ เพื่อจัดระเบียบพระสงฆ์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกรณีการเลี้ยงลูกสวาทในหมู่พระภิกษุสงฆ์ไว้ว่า
“…ลางเหล่าเหนเด็กชายลูกข้าราชการอาณาประชาราษฎรรูปร่างหมดหน้าก็พูดจาเกลี้ยกล่อม ชักชวนไปไว้ แล้วกอดจูบหลับนอนเคล้าคลึง ไปไหนเอาไปด้วย แต่งตัวเด็กโอ่อวดประกวดกันเรียกว่าลูกสวาศ ลูกสุดใจก็มีบ้างที่ช่วงชิงลูกสวาศ เกิดความหึงษาพยาบาทจนเกิดวิวาทตีรันกันตายด้วยไม้กระบองซั่น พิจารณาได้ตัวมารับเปนสัตยได้ไม้กระบองซั่นเปนหลายอัน…” กฎให้ไว้ ณ วันอังคาร เดือนเจ็ด แรมสิบสามค่ำ จุลศักราช 1163 ปีรกา นักษัตรตรีศก
แล้วตัวละครสียะตราในอิเหนาเกี่ยวข้องอย่างไรกับลูกสวาท?
ในส่วนที่มาของชื่อเรียก “ลูกสวาทสียาตรา” “ลูกสวาดสียะตรา” นั้น เป็นชื่อที่นำมาจากตัวละครหนึ่งในวรรณคดีเรื่อง “อิเหนา” โดยตัวละครสียะตรา มีบทบาทในเรื่องเป็นพระโอรสอันเกิดแต่ท้าวดาหากับประไหมสุหรี ทั้งยังมีศักดิ์เป็นพระอนุชาของนางบุษบา
ส่วนสาเหตุที่มีการนำชื่อ สียะตรา มาใช้นั้น คาดว่าน่าจะมีที่มาจากพฤติกรรมของ ‘อิเหนา’ ที่กระทำต่อ ‘สียะตรา’ ในเชิงลวนลาม และยังเป็นการลวนลามระหว่างผู้ชายด้วยกันอีกด้วย คือมีการกอด จูบ ลูบ แต่ไม่ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างที่ยกมานี้
๏ ครั้นพระกุมารหลับสนิท พระโอบอุ้มจุมพิตขนิษฐา
โลมเล้าลูบไล้ไปมา สำคัญว่าบุษบานารี
พิศพักตร์พักตร์ผ่องดังเดือนฉาย พิศทรงทรงคล้ายนางโฉมศรี
พิศปรางเหมือนปรางพระบุตรี รัศมีสีเนื้อละกลกัน
ทั้งโอษฐ์องค์ขนงเนตรนาสา ละม้ายแม้นบุษบาทุกสิ่งสรรพ์
พระกอดจูบลูบไล้เกี่ยวพัน จนบรรทมหลับสนิทไป ฯ
แม้กระทั่งพฤติกรรมการปรนเปรอเอาใจสียะตราของอิเหนาที่มีการหาของเล่นมาให้จำนวนมาก หรือพาไปเที่ยวเล่นชมนกชมไม้ ก็มีความคล้ายคลึงกับพฤติกรรมของพระเถระ ที่เอาใจลูกสวาทโดยการให้เครื่องแต่งตัวเครื่องประดับต่างๆ
๏ ครั้นถึงจึ่งวางเหนือตัก แสนรักสนิทเสนหา
แล้วบัญชาสั่งเสนา เร่งจัดเครื่องเล่นมาทุกสิ่งอัน
โล่ดั้งดาบเขนหอกคู่ ง้าวทวนธนูกั้นหยั่น
กริชกระบี่เสน่าเกาทัณฑ์ ให้สมกันกับองค์พระกุมาร
กระทั่งพฤติกรรมหวงสียะตราของอิเหนา เมื่อครั้งที่จรกาอุ้มสียะตรามาชมโฉม อิเหนาเห็นเช่นนั้นจึงบังเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งคล้ายกับพฤติกรรมหึงหวงลูกสวาทระหว่างพระสงฆ์ผู้เลี้ยงดูลูกสวาทเหล่านั้นดังนี้
๏ เมื่อนั้น อิเหนาแค้นขัดสหัสสา
พิศเพ่งเขม็งนัยนา ให้สบเนตรสียะตราผู้ร่วมใจ ฯ
๏เมื่อนั้น สียะตรารู้แจ้งอัชฌาสัย
จึงกลับมากอดเชษฐาไว้ เห็นพระเมินพักตร์ไปก็โศกา
แต่แรกเรียกน้องก็ไม่จร ภูธรขืนขับให้ไปหา
แล้วพระมากริ้วโกรธา โทษาน้องผิดสิ่งใด ฯ
แม้ว่าพฤติกรรมที่อิเหนากระทำในข้างต้นจะมีเหตุผล เนื่องด้วยเห็นสียะตราเป็นตัวแทนของบุษบาก็จริง แต่การกระทำเหล่านั้นอย่างไรเสียก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นกับสียะตรา ไม่ใช่นางบุษบา อีกทั้งการกระทำเหล่านั้นยังมีความคล้ายคลึงสอดคล้องกับพฤติกรรมของพระเถระที่กระทำกับ ลูกสวาท จึงเป็นเหตุให้ลูกสวาทเหล่านั้นมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ลูกสวาทสียะตรา’
อ่านเพิ่มเติม :
- คำว่า “โยม” มาจากไหน? เหตุใดพระสงฆ์จึงเรียกฆราวาสว่า “โยม”
- 40 ท่วงท่าลีลาสตรีเกี้ยวบุรุษ เมื่อหญิงแพศยาเย้ายวนพระสงฆ์สมัยพุทธกาล
อ้างอิง :
วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร. 2555. กฎหมายพระสงฆ์ สมัยรัชกาลที่ ๑. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.watmoli.com/vittaya-1-section1/regulation-1.html [สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2561].
ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ กองวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2560. สาธุสะพระประธมบรมธาตุ จงทรงศาสนาอยู่ไม่รู้สูญ ตามรอยนิราศพระประธมของสุนทรภู่. กรุงเทพฯ : บริษัท ทริปเพิ้ล กรุ๊ป จำกัด.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มิถุนายน 2562