สันติภาพ เสรีไทย และ “พลร่มลงสนามหลวง” สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ภาพ “เสรีไทย” บางส่วนบนปกหนังสือ “ตำนานเสรีไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. พิมพ์ พ.ศ. 2546

พระพุทธศาสนาสอนว่าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ข้าพเจ้าเข้าใจว่าความสุขอื่นก็มี ได้แก่ สุขจากการเสพสุราอาหาร ใกล้ชิดคนที่เรารัก มีคนที่เรายืมสตางค์ได้ตามอัตภาพของเราหรือของเขา ดังที่ปราชญ์กล่าวไว้ว่า เงินดีงานเดิน เงินเกินงานวิ่ง เงินนิ่งงานหยุด ฯลฯ

ข้าพเจ้าได้ยินคำว่าสันติภาพเมื่อสงครามสงบเพราะญี่ปุ่นจำนน โดยประเทศไทยออกแถลงการณ์ที่เรียกว่าประกาศสันติภาพ แต่ขณะที่ข้าศึกทิ้งระเบิดทั้งกลางวันกลางคืนไม่ได้ยินคำว่าสันติภาพเลย คนธรรมดาไม่กล้าพูดถึงเพราะคิดว่ารัฐบาลชอบทำสงคราม ใครพูดถึงสันติภาพเท่ากับต่อต้าน เป็นเหตุให้รัฐบาลโกรธจับเนรเทศส่งนิคมสร้างตนเองจังหวัดเพชรบูรณ์ คำว่าสันติภาพนี้ได้ยินหนาหูอีกครั้งหนึ่งเมื่อชาวเกาหลีเกิดรบกันเอง โดยถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ ขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามโดยตรงกลับไม่ถูกแบ่งแยก แต่เรียกว่า Occupy

เมื่อสงครามเลิกไม่นานนัก ข้าพเจ้าไปเที่ยววัดแห่งหนึ่งซึ่งกำลังซ่อมเจดีย์องค์ใหญ่ ใช้กระเบื้องถ้วยชามแตกติดทั่วทั้งองค์ กระเบื้องชิ้นหนึ่งมีข้อความว่า “Occupy Japan” เพื่อนข้าพเจ้าเห็นก็หัวเราะลั่น พูดว่าฝรั่งนักท่องเที่ยวได้ยินไกด์อธิบายว่าเจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อ 200 ปีมาแล้ว คงคิดว่า ที่พวกเขาเสียดสีการพูดจาของเราว่า “Siamese Talk” ก็มีวัตถุพยานเห็นตำตา ที่จริงเป็นการซ่อม แต่หัวหน้าไม่ละเอียด

ราว ๆ ปี 2495 มีนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์กับบุคคลต่างอาชีพถูกจับหลายสิบคน ขังไว้ที่อาคารไม้ 2 ชั้น หลังกองทะเบียนฯ สระปทุม ริมคูที่กั้นเขตระหว่างโรงเรียนตำรวจสระปทุมกับกองทะเบียนและที่ทำการตำรวจต่าง ๆ บริเวณตรงนั้นต่อมาเป็นตึกที่ทำการของสันติบาลกอง 6 ส่วนผู้ที่ถูกจับถูกหาว่าเป็นกบฏ หนังสือพิมพ์เรียกว่า “กบฏสันติภาพ” ก่อนเกิดการจับกุม มีการแจกแบบพิมพ์ลงชื่อเรียกร้องสันติภาพ เสมียนผู้หนึ่งได้มาจากไหนไม่ทราบ นำมาให้หัวหน้าแผนกของเขาลงชื่อ อีกไม่กี่วันต่อมามีหน่วยงานต่อต้านประกาศว่าผู้ที่เรียกร้องสันติภาพมีความผิดข้อหากระทำการเป็นคอมมิวนิสต์

หัวหน้าแผนกคนนั้นโกรธเสมียนของเขาแทบเป็นง่อย และยื่นคำขาดให้ไปเอาใบที่มีชื่อของเขากลับมาทันที เมื่อได้แล้วก็นำไปเผาทิ้ง แกไม่มองหน้าเสมียนนั่นหลายวัน แต่แม้ว่าผู้เรียกร้องสันติภาพจะติดคุกก็ไม่นาน พอมีงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษก็ปล่อยหมด การติดคุกของผู้มีความรู้บางทีก็เป็นประโยชน์แก่สังคม เช่น ดิคชันนารี ของ สอ เศรษฐบุตร สารคดีทางพระพุทธศาสนาอันมีค่าแก่การศึกษา ซึ่งกบฏสันติภาพได้เขียนขณะถูกคุมขังในเรือนจำด้วยหัวใจเจิดจ้าด้วยอิสระอันรุ่งโรจน์ เป็นธงชัยของนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมต่อไป

บรรยากาศการขาดแคลนสินค้าในยามบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒

ขณะที่เมืองไทยตกอยู่ในภาวะสงคราม ไม่มีการเรียกร้องสันติภาพอย่างเปิดเผยก็จริง แต่ได้มีการทำงานเพื่อให้ชาติเรากลับคืนสู่สันติภาพโดยปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือการปฏิบัติงานของขบวนการเสรีไทยหรือพลพรรคใต้ดิน ซึ่งเป็นงานที่เสี่ยงกับลูกปืนและคมดาบซามูไร ตลอดเวลาสงครามข้าพเจ้าเป็นคนไทยที่ไม่ระแคะระคายเรื่องเสรีไทยเลย แม้จะมีเสรีไทยจากต่างประเทศมาซ่อนตัวที่ตลาดพลูระยะหนึ่ง แต่คนญี่ปุ่นปลอมเป็นคนจีนนั้นเคยเห็นอยู่ ที่นุ่งขาวห่มขาว คล้องประคำคอก็มี เรื่องที่น่าหวาดเสียวและซุบซิบกันหนาหู คือรัฐบาลเก่าจะยาตราทัพจากลพบุรีเมืองทหารมายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลใหม่ ข่าวลือซึ่งเกิดขึ้นในความมืดยามต้องพรางไฟทั้งประเทศนั้น น่าสยดสยองกว่าข่าวลือที่พูดกันอย่างสว่าง ๆ

ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องที่ทหารฝรั่งจะโดดร่มลงมาตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ และเชื่อกันว่าที่ดอนเมืองนั้นแน่นอน สายวันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2488 ข้าพเจ้าเดินเล่นที่สนามหลวง เห็นตำรวจยืนใต้ต้นมะขามด้านที่ตรงกับศาล (ฝั่งตะวันออก) แต่ไม่คิดว่าจะมีอะไร ตอนนั้นพ่อตายและจบมัธยม 6 แล้วแต่ยังไม่มีที่เรียนต่อ ข้าพเจ้าไปหาเพื่อนพี่สาวซึ่งนำผลไม้จากตลาดวันจันทารามไปขายใกล้ ๆ วัดสามปลื้ม กินอาหารกลางวันแล้วไปพาหุรัด เห็นเครื่องบินชนิด 2 ลำตัว (ล็อคฮีด) 9 ลำ บินเหนือสะพานพระพุทธยอดฟ้า มีเสียงปืนดังตุง ๆ เหมือนเสียงกลอง เป็นปืนเรือดำน้ำที่ผูกทุ่นอยู่ท่าราชวรดิฐ รู้ภายหลังว่าเรือดำน้ำเพียงแต่ยิงนัดดินเท่านั้น แต่เครื่องบินประจัญบานข้าศึกบินเป็นวงกลมแล้ว Dive ลงมายิงด้วยปืนกลอากาศจนครบ 9 ลำ แล้วก็บินลอยฟ่องเป็นวงกลมต่อไป

ทันใดมีเสียงร้องตะโกนว่า “พลร่มลงสนามหลวง” ข้าพเจ้าและใคร ๆ หลายสิบคนพากันวิ่งไปสนามหลวงไม่คิดชีวิต อันที่จริงเราควรวิ่งไปที่แม่น้ำแล้วโดดลงไปจึงจะถูกยุทธวิธีการหลบภัยทางอากาศ เมื่อไปถึงปรากฏว่าสนามหลวงว่างเปล่า ตามปกติเมื่อหวอมาในเวลากลางวันที่มิใช่วันหยุดงาน จะมีคนทำงานเป็นอันมากนอนหงายดูเครื่องบินทิ้งระเบิดเป็นการหลบภัยโดยไม่ลงหลุม ได้รับความเพลิดเพลินจำเริญใจพอสมควร แต่แล้วโดยไม่นึกไม่ฝัน มีอะไรหล่นลงมาจากเครื่องบิน B.24 มี 2 แพนหาง บางคนนอนภาวนาอรหังบอกหนทางให้ตัวเอง เพราะแข้งขาอ่อนลุกไม่ขึ้น ที่วิ่งหนีไปคนละทิศทาง และตกคลองก็มาก ตำรวจจับยึดร่มไปได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งหาว่าราษฎรแย่งไป ญี่ปุ่นคงรู้เรื่องเสรีไทยอยู่จึงไปเสียดสีนายกรัฐมนตรีของเรา ฯพณฯ ควง อภัยวงศ์ เขาว่าฝรั่งส่งปืนมาให้พลพรรคเสรีไทยมากมายแต่ไม่แน่ใจว่ามีเสรีไทยจริงหรือไม่ หรือเป็นการจัดฉากตบตาพวกเขา จึงทิ้งร่มมากลางสนามหลวง ถ้าเสรีไทยไม่แข็งแรงพอ ญี่ปุ่นฟาดเราแน่ ฝรั่งเคยตรวจสอบในครั้งหนึ่ง โดยสั่งให้พวกใต้ดินของเราจับนายพลญี่ปุ่นส่งไปให้เพราะเราช่วยนักบินของเขาที่ถูกยิงตกทางเมืองเหนือให้กลับไปโดยปลอดภัย

คณะรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ รัฐบาลภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีบทบาทสำคัญในการประกาศสันติภาพ

ไทยรู้ว่าฝรั่งต้องการความแน่ใจในเรื่องขบวนการเสรีไทยว่ามิใช่เรื่องโกหกจึงตอบว่าได้ แต่ต้องรบกับญี่ปุ่น ฝรั่งห้ามแทบแย่เพราะไม่พร้อมที่จะช่วยเรา และกำลังเตรียมทดลองระเบิดปรมาณูลูกแรกที่อลาโมโกรโด ซึ่งใช้พิชิตญี่ปุ่นได้ผลแน่นอนกว่าอาวุธอื่น ๆ และแม้เมื่อสงครามสงบแล้ว ฝรั่งเข้ามาปลดอาวุธญี่ปุ่นในไทย ก็ยังไม่วายซุบซิบกันว่าอาวุธที่ทิ้งร่มลงมามากเพื่อให้เสรีไทยรบที่ญี่ปุ่น จริง ๆ แล้วมีเสรีไทยกี่คน จึงเกิดการสวนสนามพลพรรคพรรคเสรีไทยที่ถนนราชดำเนิน โดยมีอาวุธทุกคน เกือบหมื่นคน ใช้เวลาเดินนานเป็นชั่วโมง

คนไทยสมัยนั้นท่านรักษาชาติไว้ให้เราด้วยความลำบากยากเข็ญ และถูกระแวงสงสัยตลอดเวลาอันเป็นธรรมดาของงานใหญ่ ๆ ทั่วไป เราควรสาบานต่อวิญญาณอันเหี้ยมทระนงของวีรชนเหล่านั้นว่า แผ่นดินไทยผืนนี้ไม่มีวันยอมยกให้ใคร

 


หมายเหตุ บทความในนิตยสารชื่อ สันติภาพ 

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 กันยายน 2562