ในยุคที่ต้องรัดเข็มขัด เรามาหัดชงกาแฟทานเองที่บ้านกันเถอะ

ปกติเมื่อเดินเข้าไปในร้านขายกาแฟก็มักจะพบว่า ‘บาริสตา’ มีอุปกรณ์ในการชงมากมาย อยู่หน้าเครื่องชง Espresso ขนาดใหญ่แบบมือโปร จนกลายเป็นภาพชินตา ด้วยร้านกาแฟในไทยนิยมใช้เครื่องชงแบบ Espresso กันเป็นหลักในการสกัดน้ำกาแฟออกมาปรุงรสชาติเป็นเมนูต่างๆ ตามคุณสมบัติความสามารถของเครื่องชง ตามหลักที่ว่ายิ่งเป็นแบรนด์ดี มีราคาสูง ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงล้าน น้ำกาแฟที่ได้ก็จะยิ่งอร่อยนั้นเป็นเรื่องจริง

หากแต่ในยุคที่เศรษฐกิจหยุดนิ่งอย่างนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้าลงทุนกับเครื่องชงกาแฟ หลักหมื่นหลักแสน หรือแม้แต่หลักหลายพัน เพียงเพื่อต้องการชงกาแฟทานเองที่บ้าน จะด้วยความอยากประหยัดงบประมาณหรือเหตุผลใดๆ ก็ตาม การไปลงทุนด้วยเครื่อง Espresso ราคาสูงเหล่านั้นดูจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะการชงกาแฟสดทานเองที่บ้านยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถทำกาแฟสดรสชาติอร่อยได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องชงแบบ Espresso บนงบประมาณเพียงหลักร้อย-หลักพันด้วย 4 วิธีนี้

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook : Bangkok Bank SME 

1. Moka Pot (โมกา พ็อต) : เป็นวิธีการชงที่นิยมกันมากในประเทศอิตาลี และมีต้นกำเนิดมาจากอิตาลี ซึ่งจะดึงรสชาติที่เข้มข้นของกาแฟได้ออกมาอย่างเต็ม หากใครชอบรสเข้มข้น ขอบทานเมนูเย็น เน้นสะดวกรวดเร็วไม่ต้องพิถีพิถันมาก ในงบประมาณการจัดหาอุปกรณ์อยู่ที่ 500- 2,000 บาท Moka pot ตอบโจทย์ได้ เพราะหลักการทำงานโดยใช้ความร้อนและแรงดันในการสกัดน้ำกาแฟ มีความคงทนอายุการใช้งานนาน วิธีการชงก็แสนง่ายแค่เพียงเติมน้ำด้านล่าง ตักผงกาแฟคั่วบดลงในถาดใส่ แล้วประกอบหม้อต้มเหมือนเดิม ตั้งบนฐานความร้อนที่มีมาให้ในชุด ปรับระดับความร้อนให้เหมาะสม รอประมาณ 5 นาที ก็จะได้น้ำสกัดกาแฟแบบ Americano หรือ Long Shot พร้อมปรุงเสิร์ฟ ได้ทั้งเมนูร้อนและเย็น

2. French Press (เฟรนช์ เพรส) : เป็นวิธีการชงกาแฟจากประเทศฝรั่งเศส ที่มีสไตล์การชงที่เป็นเอกลักษณ์ โดยจะใช้วิธีการใส่เมล็ดกาแฟที่บดหยาบ-บดปานกลางไปบนน้ำร้อน ปล่อยให้เมล็ดกาแฟคั่วบดตกตะกอนทั่วถึง ก่อนจะค่อยๆ ใช้ตัวกรองด้านบนกดลงเพื่อดันกากกาแฟไว้ด้านล่าง การชงแบบนี้จะมีกากกาแฟผสมไปกับน้ำกาแฟที่สกัดได้เล็กน้อย แต่ทำให้ได้รสชาติเข้มข้น สัมผัสที่ได้จึงเป็นสไตล์ฝรั่งเศสขนานแท้ หากแต่ต้องใช้ความละเมียดละไมในการรอคอยสักเล็กน้อย โดยในครั้งแรกที่ใส่ผงกาแฟและเติมน้ำร้อน จะต้องปล่อยให้ผงกาแฟแช่น้ำนาน 4 นาที จากนั้นจึงคนให้กากกาแฟจะลอยขึ้นและจับตัวเป็นชั้น ระหว่างรอ เมื่อครบ 4 นาที ให้ใช้ช้อนคนกาแฟที่ลอยเป็นชั้นขึ้นมาให้เข้ากัน กาแฟจะลอยลงไปอยู่ก้นอุปกรณ์ แล้วรอต่อไปอีก 5 นาที จึงจะรินน้ำกาแฟมาทานได้ สำหรับงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์จะอยู่ที่ประมาณ 300-1,000 บาท

3. Drip (ดริป) : ได้รับความนิยมในบ้านเราและพบเห็นได้บ่อยกว่า 2 วิธีแรก เป็นวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ศิลปะ และเวลา หลักๆ จะใช้การตักผงกาแฟลงบนกระดาษกรอง ที่ทำจากกระดาษ ตะแกรง หรือถุงกรอง กรองกาแฟคั่วบดไว้ด้านบน ก่อนจะใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิพอเหมาะเทผ่านตัวกรองเหล่านั้น โดยเมล็ดกาแฟคั่วบดที่ใช้มักจะเป็นชนิดละเอียด-ละเอียดมาก เพราะจะทำให้กาแฟสดมีรสชาติเข้ม และหอมเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีราคาอุปกรณ์อยู่ในหลัก 200–1,000 บาท

4. Syphon (ไซฟอน) : อาจดูแปลกตาและหาดูได้ยากในปัจจุบัน ด้วยลักษณะการชงที่ใช้อุปกรณ์ 2 ชิ้นคือ Upper Bowl และ Lower Bowl โดยจะทำการใช้เมล็ดกาแฟคั่วบดแบบละเอียดมากในการใส่ลงไปบน Upper Bowl เมื่อกาแฟได้ที่จึงค่อยๆ ปล่อยให้กาแฟไหลผ่านตัวกรองลงมาที่ Lower Bowl จะได้กาแฟสดที่รสชาติละมุน กลมกล่อม และหอมหวาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถือกำเนิดในประเทศเยอรมัน จากนั้นจึงเริ่มแพร่หลายไปยังประเทศใกล้เคียงเช่นฝรั่งเศสและอังกฤษ และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ใช้ต้นทุนในการจัดหาอุปกรณ์ได้ด้วยงบประมาณ 600-3,500 บาท

ด้วย 4 วิธีดังกล่าวก็สามารถเนรมิตเช้าวันทำงานให้อบอวลไปด้วยกลิ่นกรุ่นกาแฟสดใหม่ เสมือนเดินเข้าไปในร้านขายกาแฟในราคาที่ต้องจ่ายแสนเบา และประหยัดกว่าการเดินเข้าไปสั่งซื้อที่ร้านลงได้ครึ่งหนึ่งของราคาที่ร้านกาแฟจำหน่ายตามปกติแล้ว

คลิกอ่านเพิ่มเติม


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ
คลิก หรือสายด่วน1333