นักสืบเฟซบุ๊ก เบื้องหลังความสำเร็จในการตามล่าโบราณวัตถุที่ถูกขโมยไปจากอินเดีย

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย กับ โทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย (ในขณะนั้น) ยืนเคียงข้างเทวรูปสัมฤทธิ์ที่เคยถูกขโมยไปจากรัฐทมิฬนาดู เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2014 ก่อนหน้าการประชุมในนิวเดลี (ภาพจาก AFP PHOTO / PRAKASH SINGH)

เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือสื่อสารแบบเครือข่ายที่สามารถสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งด้านดีและด้านลบขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน อย่างในอินเดีย เครือข่ายสังคมออนไลน์ชนิดนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้คนเห็นความสำคัญของการป้องกัน และตามล่าหาวัตถุโบราณที่ถูกขโมยไปขายในต่างแดน จนมีอาสาสมัครเข้ามาช่วยติดตามวัตถุเหล่านี้กลับคืนประเทศโดยไม่หวังค่าตอบแทนหลายคน

อาร์วินด์ เวนกะตรามัน ภาพถ่ายเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2016 (AFP PHOTO / Arun SANKAR )
อาร์วินด์ เวนกะตรามัน ภาพถ่ายเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2016 (AFP PHOTO / Arun SANKAR )

อาร์วินด์ เวนกะตรามัน (Arvind Venkatraman) วิศวกรซอฟต์แวร์จากเชนไน ศูนย์กลางไอทีของอินเดียเป็นคนหนึ่งที่ใช้เวลาว่างในการเป็นนักสืบด้านศิลปะระดับนานาชาติ โดยใช้เฟซบุ๊ก และเครือข่ายออนไลน์อื่นๆ ในการสืบค้นว่าวัตถุโบราณที่ไปปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆ ในโลก เป็นโบราณวัตถุที่ถูกขโมยมาจากอินเดียหรือไม่

เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “India Pride Project” (IPP) โครงการที่ตั้งขึ้นโดยผู้สนใจงานศิลปะที่พำนักอยู่ในสิงคโปร์ แต่ตอนนี้ได้ขยายเครือข่ายไปทั่วโลก

เมื่อสองปีก่อน (ค.ศ. 2015 – กองบรรณาธิการ) IPP อ้างว่า พวกเขาสามารถเรียกคืนเทวรูปพระศิวะ มูลค่ากว่า 5 ล้านดอลลาร์ (ราว 180 ล้านบาท) จากหอศิลป์แห่งชาติของออสเตรเลียได้สำเร็จ

โดยเทวรูปดังกล่าวถูกขโมยไปจากรัฐทมิฬนาดู บ้านเกิดของ เวนกะตรามัน ซึ่งเขากล่าวว่า ตอนแรกทางหอศิลป์ฯ ไม่เชื่อว่าเทวรูปดังกล่าวที่ตนซื้อเป็นของที่ถูกขโมยมา แต่ตอนนี้หอศิลป์ฯ ของออสเตรเลียได้ยื่นฟ้องนายหน้าค้าวัตถุโบราณจากแมนฮัตตันที่พวกเขาซื้อมาแล้ว

“ปฏิกริยาแรก โดยส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ” เวนกะตรามัน กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี

“ไม่ว่าจะเป็นที่ออสเตรเลีย ยุโรป สิงคโปร์ หรือในสหรัฐฯ ตอนแรกบรรดาภัณฑารักษ์มักจะออกมาต้าน…นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาใช้เงินจำนวนมากแลกมา และเขาก็ไม่ยอมที่จะปล่อยมัน”

ประทีป วี ฟิลิป (Prateep V Philip) เจ้าหน้าที่ตำรวจจากแผนกที่ดูแลคดีขโมยงานศิลปะโดยเฉพาะกล่าวว่า โบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่ถูกขโมยไป กว่าทางการจะรู้เรื่องก็อาจจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เนื่องจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจดูโบราณวัตถุไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก

ด้วยเหตุนี้ วัตถุโบราณที่ถูกขโมยไปส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนว่าเป็นวัตถุที่สูญหาย ทำให้มันสามารถถูกนำไปซื้อขายได้ในต่างประเทศ

ด้าน ดอนนา เยตส์ (Donna Yates) อาจารย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการลักลอบค้าวัตถุโบราณจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ กล่าวชื่นชม IPP ว่า สิ่งที่พวกเขาทำได้นับว่าน่าทึ่งมาก เนื่องจากอาสาสมัครเหล่านี้แทบจะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือการสนับสนุนจากภายนอก การที่ IPP ลงแรงเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุโบราณที่ถูกขโมยไปก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้สาธารณะหันมาให้ความสนใจ ซึ่งหาที่ไหนจะเปรียบเทียบได้ยาก

ขณะเดียวกัน ที่เมืองไทย กระแสความสนใจต่อปัญหาการขโมยโบราณวัตถุก็มีมากขึ้นเช่นกัน เมื่อมีกลุ่มนักวิชาการและผู้สนใจด้านโบราณคดีออกมาเรียกร้องให้ทางการไทยเรียกคืนพระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์ที่เชื่อว่าถูกขโมยไปจากปราสาทเขาปลายบัด และข่าวการจับกุมนักค้าของเก่าในสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2016 – กองบรรณาธิการ) ก็ช่วยจุดประกายความหวังให้กับหลายคนที่ยังติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด

คลิกอ่านเพิ่มเติม : “อินเดียนา โจนส์ แห่งโลกศิลป์” นักสืบโบราณวัตถุผู้พบสมบัติฮิตเลอร์ที่คนคิดว่าถูกทำลาย


หมายเหตุ : เนื้อหานี้เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อมกราคม 2017

แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาล่าสุดเมื่อ 2 มีนาคม 2022 จัดย่อหน้าใหม่และเน้นคำใหม่โดยกองบรรณาธิการ