ที่มา | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา การ์เดียนและเดลี่เมล์รายงานผลการศึกษาวิจัยถึงสาเหตุการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์มนุษย์ อย่างชาวชนเผ่าแอสเท็ค ที่คุมพื้นที่บริเวณเม็กซิโกถึงโคลัมเบียตั้งแต่ช่วงต้นคริตส์ศตวรรษที่ 14 สิ้นสุดในช่วงต้นคริสตส์ศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ามายึดครองสเปน
นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันค้นพบว่าในช่วงปี ค.ศ.1545-1550 หรือราวพ.ศ.2088-2093 ชาวเเอสเท็คเผชิญหน้ากับโรคระบาดชื่อ cocoliztli ใน 5 ปี มีผู้คนเสียชีวิตไป 15 ล้านคนหรือ 80 เปอร์เซนของประชากรทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรโบราณนี้ล่มสลายซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุนอกจากการเข้ามายึดครองสเปน
การศึกษาชิ้นใหม่ของนักวิทยาศาสตร์พบจากฟันของชาวแอสเท็คที่ค้นพบในเม็กซิโก พบว่ามีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าซัลโมเนลลา Salmonella enterica ส่งผลให้เกิดอาหารเป็นพิษ ขณะที่ชาวแอสเท็คไม่มีภูมิคุ้มกันกับเชื้อชนิดนี้ ซึ่งสมัยนั้นเชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่ว ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของประเทศเม็กซิโก และกัวเตมาลา

โอชิลด์ โวเกน์ นักวิจัยจากภาควิชาโบราณคดี สถาบันมักซ์ พลังก์ จากเยอรมนี ระบุว่าในบริบท หรือหน้าประวัติศาสตร์และโบราณคดี ของเมืองเตโปสโกลูบา ยูกุนดาอา ในเม็กซิโก มีการขุดซากโครงกระดูก 5 โครงจากสุสานสำหรับคนตายจากโรคระบาดขึ้นมาศึกษาและพบว่าทั้งหมดได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าซัลโมเนลลา
อเล็กซานเดอร์ แฮร์บิก นักวิจัยจากสถาบันเดียวกันระบุว่า กุญแจสำคัญของการค้นพบคือไม่ได้เจาะจงหาเชื้อโรคตัวไหนเป็นพิเศษ เพียงตั้งสมมุติฐานขึ้นมาจากกรณีการแพร่ระบาดในวงกว้างและค่อยหาที่มาของเชื้อโรค