ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
“ไม่ตายก็คางเหลือง” มีที่มาจากไหน ทำไม “คาง” ต้อง “สีเหลือง”
“คางเหลือง” หรือประโยคเต็มที่ว่า “ไม่ตายก็คางเหลือง” เป็นสำนวนไทยที่มีความหมายว่า “ป่วยหรือบาดเจ็บมากจนแทบเสียชีวิต, มักใช้ว่า ไม่ตายก็คางเหลือง” (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554)
แล้วสำนวนนี้ มีที่มาจากไหน ทำไม “คาง” จึงเป็น “สีเหลือง”
หนังสือชื่อสำนวนไทย ของ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) อธิบายว่า ในการวิวาทต่อยตีนั้นจุดสำคัญที่หากโดนโจมตีเข้าแล้วอาจถึงตายได้ มี 8 แห่ง ได้แก่ ท้ายทอย, ต้นคอ, จมูก, แสกหน้า, เพรียงหู (ส่วนร่างกายที่นูนอยู่หลังหู), ขากรรไกร, ชายโครง และคาง
“คาง” หรือ “ปลายคาง” เป็นอวัยวะส่วนที่ยื่นออกมา ล่อแหลมมากในการต่อสู้ประชิดตัว ไม่ว่าจะเป็นการวิวาทต่อยตีกันหรือชกมวย หากโดนบริเวณนี้แล้วก็มีสิทธิบาดเจ็บได้ง่ายกว่าส่วนอื่น
เมื่อถูกชกคาง, ถูกเสยคาง ฯลฯ ก็ต้องรักษาพยาบาลเบื้องต้น ในสมัยโบราณนิยมใช้ “ไพล” มาฝนทาแก้ฟกช้ำ ทาที่คางจนเหลืองตามสีของไพล เป็นที่มาของประโยคที่ว่า “ถ้าไม่ตายก็คางเหลือง” นั่นเอง

ส่วนอีกหนึ่งที่มา ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ อธิบายไว้ในหนังสือความหมายของคำ สรุปความได้ว่า เป็นสำนวนที่เกิดจากการ “ตีไก่” หรือ “ชนไก่” เจ้าของไก่ชนแต่ละฝ่ายจะเตรียมสมุนไพรต่างๆ เช่น ขมิ้นอ้อย มะขามเปียก ฯลฯ สำหรับรักษาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับไก่ของตน
ตัวอย่างเช่น เมื่อไก่ฝ่ายใดถูกไก่ฝ่ายตรงข้ามเตะคางจนเกือบหัก เจ้าของก็จะเอาขมิ้นมาฝนบนอ่างดินตั้งไฟ ก่อนจะเอามาประคบคางไก่ชน จนคางไก่เหลืองไปด้วยขมิ้น กลายเป็นสำนวนกล่าวเปรียบเทียบคนที่ถูกทรมานจนบอบช้ำว่า “ไม่ตายก็ (คง) คางเหลือง”
สำนวน “คางเหลือง” ในวรรณคดี
มีแนวโน้มว่าสำนวนนี้มีที่มาจากการต่อสู้ ทั้งมีการใช้อย่างกว้างขวาง โดยไม่จำกัดเฉพาะแค่อาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ “คางเหลือง” ก็ไม่ได้เหลืองเพราะสมุนไพรต่างๆ แต่เป็นสถานการณ์ลำบาก, เลวร้าย ฯลฯ และยังมีการใช้กันมาช้านาน ตัวอย่างคำกลอนที่พูดถึงสำนวนคางเหลือง เช่น
“ครั้งนี้ไม่รอดเห็นวอดวาย ถ้าแม้นมิตายก็คางเหลือง” -คาวี พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2
“ฝ่ายพวกเรือเหลือแตกต้องแยกย้าย ที่ไม่ตายรอดบ้างก็คางเหลือง” -พระอภัยมณีของสุนทรภู่
“มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย ถึงไม่ตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว” -นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัยสมัยรัชกาลที่ 4
แต่ถึงจะ “คางเหลือง” ก็ยังโชคดีที่ไม่ถึงกะตาย และยังมีโอกาสลุกขึ้นสู้ใหม่

อ่านเพิ่มเติม :
- “ย่างสามขุม” ในวงการมวยไทยคืออะไร ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร
- กำเนิด “กรมทนายเลือก” คัดนักมวยเป็นราชองครักษ์ กับรากฐานมวยไทยสากลในยุคแรก
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
เอนก นาวิกมูล. “คางเหล็ก + คางเหลือง” ใน, ศิลปวัฒนธรรม กุมภาพันธ์ 2562.
ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์. ความหมายของคำ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสว่าง เจริญวิทย์ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พุทธศักราช 2516.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 กันยายน 2567