พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบราซิล : สิ่งที่เหลือรอดจากกองไฟ

ประตูอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศบราซิลเปิดให้เห็นอุกกาบาต Bendegó ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายหลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ (ภาพจากเว็บไซต์ http://www.latimes.com/world/la-fg-brazil-museum-losses-20180904-story.html)

เหตุเพลิงไหม้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศบราซิลในวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับวัตถุโบราณภายในตัวอาคารกว่า 90 เปอร์เซ็น เรียกได้ว่าความทรงจำของชาติซึ่งหมายความรวมถึงทั้งตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ โครงกระดูกมนุษย์ Luzia ที่มีอายุเป็นหมื่นปี และวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นอื่น ๆ ต้องสูญสลายหายไปในกองเพลิง

ภาพตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศบราซิลจากมุมบน ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2018

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเจ็บปวด และความรู้สึกสูญเสียให้แก่ชาวบราซิลเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากที่ในเร็ว ๆ นี้ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Federal University of the State of Rio de Janeiro (UNIRIO) ได้แชร์รูปภาพของตนเองที่ถ่ายคู่กับพิพิธภัณฑ์และวัตถุโบราณก่อนเหตุการณ์ไฟไหม้ในกลุ่มนักศึกษาด้วยกัน จากนั้นจึงได้โพสต์ชักชวนคนอื่น ๆ ให้มามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งจากการเชิญชวนก็พบว่ามีผู้ให้ความสนใจส่งรูปเข้ามาเป็นจำนวนมาก

ด้านในของพิพิธภัณฑ์ ถ่ายเมื่อปี 2012 (ภาพโดย Jorgebrazil จากเว็บไซต์ https://www.atlasobscura.com/articles/students-collecting-photos-of-museu-nacional?utm_medium=atlas-page&utm_source=facebook.com)
ศิลปะภายในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศบราซิล (ภาพโดย Jorgebrazil จากเว็บไซต์ https://www.atlasobscura.com/articles/students-collecting-photos-of-museu-nacional?utm_medium=atlas-page&utm_source=facebook.com)

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบราซิล หรือ Museu Nacional สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1818 มีอายุครบ 200 ปีพอดีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา  แรกเริ่มนั้นอาคารแห่งนี้ถูกสร้างให้เป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์โปรตุเกสก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติซึ่งเก็บสะสมวัตถุโบราณกว่า 20 ล้านชิ้น

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติประเทศบราซิล เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของพิพิธภัณฑ์แห่งทวีปอเมริกาไต้ เป็นความภูมิใจของชาวบราซิล เปรียบเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ของฝรั่งเศส (musée du Louvre) หรือพิพิธภัณฑ์เททของอังกฤษ (Tate Britain) แต่ถึงกระนั้นกลับพบว่าในแต่ละปีมีผู้เข้าชมเพียงแค่ปีละ 154,000 คน เทียบไม่ติดกับพิพิธภัณฑ์อย่างลูฟวร์หรือเททที่พบว่ามีผู้เข้าชมมากกว่า 8 ล้านคนเมื่อปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ความเสื่อมโทรมของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอาจนำมาสู่เหตุการณ์ไฟไหม้ก็กล่าวกันว่ามีต้นตอมาจากรัฐบาลบราซิลที่ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจพิพิธภัณฑ์ อีกทั้งยังได้ทำการตัดงบประมาณการทำนุบำรุง จนกระทั่งในปี 2015 พิพิธภัณฑ์ต้องปิดตัวลงชั่วคราวเนื่องจากเกิดปัญหาทางด้าน “ความปลอดภัยและความสะอาด”

ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้รุนแรงครั้งนี้พบว่ามีวัตถุบางชิ้นที่เหลือรอดมาได้ โดยวัตถุชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวที่รอดจากเหตุการณ์นี้คือ อุกกาบาต Bendegó น้ำหนัก 5 ตัน ซึ่งเป็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบในประเทศบราซิล สำหรับโบราณวัตถุชิ้นอื่น ๆ นั้นยังไม่มีการรายงานสภาพออกมาแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เชื่อว่าทั้งนักศึกษาชาวบราซิล หรือผู้ที่ติดตามข่าวนี้คงกำลังภาวนาให้ความทรงจำและรูปถ่ายจะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่เหลือรอด

สภาพอุกกาบาต Bendegó ที่ยังคงเหลือรอดภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้ (ภาพโดย LEO CORREA/AP/REX/SHUTTERSTOCK จากเว็บไซต์ https://mashable.com/article/museum-fire-brazil-meteorite/#S567N9cD.sqF)

ช้อมูลจาก
https://www.atlasobscura.com/articles/students-collecting-photos-of-museu-nacional?utm_medium=atlas-page&utm_source=facebook.com

http://www.latimes.com/world/la-fg-brazil-museum-losses-20180904-story.html

https://www.theguardian.com/culture/2018/sep/04/paulo-coelho-rio-brazil-national-museum-fire-neglected-history