ดอกเตอร์ ชาร์ล็อตต์ ลินด์ควิสต์ นักชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญวิวัฒนาการของหมี จากยูนิวเวอร์ซิตี แอทบัฟฟาโล ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ดำเนินการศึกษาวิจัยตรวจสอบดีเอ็นเอ จากตัวอย่างที่ถูกระบุว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ของ “เยติ” หรือ “มนุษย์หิมะ” หรือ “มนุษย์หิมาลัย” เพื่อนำไปเทียบเคียงกับดีเอ็นเอของหมี เพื่อไขปริศนาลึกลับเกี่ยวกับตำนานของเยติ ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก “ไอคอน ฟิมล์ม” บริษัทผู้ผลิตภาพยนต์อิสระในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยขอสิทธิในการถ่ายทำภาพยนต์เพื่อเผยแพร่แลกกับการสนับสนุนดังกล่าว

ไอคอน ฟิล์ม เป็นผู้จัดหาชิ้นส่วนจากหลักฐานนี้ระบุว่า เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของเยติจริงๆ รวม 9 ชิ้น รวมทั้งชิ้นส่วน ขน เขี้ยว และหนังศรีษะ ในขณะที่ทีมวิจัยของลินด์ควิสต์ จัดหาตัวอย่างสำหรับการตรวจสอบดีเอ็นเอจากประชากรหมีจากสวนสัตว์ วนอุทยานและชิ้นส่วนของหมีในพิพิธภัณฑ์ที่รู้กันดี รวม 15 ตัวอย่าง เพื่อใช้ในการอ้างอิงเปรียบเทียบ โดยมุ่งเน้นการศึกษาวิจัยไปทีี่ “ไมโทรครอนเดรีย ดีเอ็นเอ”

ผลการตรวจดีเอ็นเอจากกลักฐานเยติทั้งหมด พบว่า 8 ชิ้นเป็นชิ้นส่วนของหมีสีน้ำตาลหิมาลัยอีกชิ้น เป็นเขี้ยวและชิ้นส่วนขนของสุนัข

ทีมวิจัยของลินด์ควิสต์ยังได้เปรียบเทียบดีเอ็นเอว่า หมีสีน้ำตาลหิมาลัย ซึ่งมีผู้พบเห็นทั้งบนที่สูงของเทือกเขาหิมาลัยเรื่อยไปจนถึงบางส่วนของที่ราบสูงทิเบต แยกวิวัฒนาการออกจากหมีอื่นๆ ในภูมิภาคทั้งหมดเมื่อหลายพันปีมาแล้ว  ซึ่งทำให้มันมีลักษณะทางพันธุกรรมต่างออกไปจากหมีสีน้ำตาลอื่นๆ และแตกต่างออกไปจากหมีสีน้ำตาลเอเชียทั้งยังส่งผลให้รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไปด้วย อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่าจำเป็นต้องมีตัวอย่างวิจัยที่มีคุณภาพดีกว่านี้ เพื่อให้ได้ภาพรวมของสายพันธ์ใหม่นี้ทั้งหมด

“สิ่งที่อ้างว่าเป็นเยติ ซึ่งได้จากที่ราบสูงทิเบต มีดีเอ็นเอตรงกันกับหมีสีน้ำตาลทิเบตส่วนที่อ้างว่าได้จากเทือกเขาด้านตะวันตกของหิมาลัย ดีเอ็นเอก็ตรงกับหมีสีน้ำตาลหิมาลัย ส่วนอื่นๆ ที่ได้จากระดับความสูงที่ต่ำลงมา ดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าเป็นหมีดำเอเชียเท่านั้น” ลินด์ควิสต์กล่าว

---

ที่มา : “วิเคราะห์หลักฐาน “เยติ” ที่แท้เป็น “หมีสีน้ำตาล”. หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560