รัชกาลที่ 5 ทรงหลงรัก “หมาเตี้ย” และพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับสุนัขในต่างประเทศ

ท่านผู้อ่านแฟนๆ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม เห็นอะไรหรือเปล่าครับ ที่กำลังนำเสด็จตรงบริเวณบันไดท่าน้ำวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก

เรียน บรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม

จดหมายถึงท่านบรรณาธิการฉบับนี้มาจากที่ผมได้อ่านบทความของ คุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย เรื่อง “รัชกาลที่ 5 กับสุนัขทรงเลี้ยง” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 36 ฉบับที่ 5 เดือนมีนาคม 2558 ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมารู้เรื่องเจ้านายกับ “หมา” หรือสุนัขทรงเลี้ยงในอดีตนั้น ผมจะนึกออกเพียงชื่อ “ย่าเหล” สุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เห็นภาพพระองค์ทรงฉายกับ “ย่าเหล” อยู่หลายภาพ มีบทความที่เขียนถึงและมีพิมพ์เป็นหนังสือ

แต่พออ่านบทความคุณศันสนีย์ ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากในเรื่องสุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างที่ไม่เคยรู้ว่าทรงมีสุนัขทรงเลี้ยงอยู่หลายสุนัข อาทิ อีเบส อ้ายปรินซ์ อีทองวิก อีเซส อ้ายยอช อ้ายจุด… และพระองค์น่าจะโปรด “หมาเตี้ย” เป็นพิเศษ (อ่านเพิ่มเติม : รัชกาลที่ 5 กับ “อีเบส” สุนัขทรงเลี้ยงที่พระองค์ต้องระวัง)

นึกขึ้นได้ว่าผมมีหนังสือชื่อ “หมาโบราณ” ที่เขียนโดย คุณทวีไทย บริบูรณ์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2532
คุณทวีไทยเป็นผู้รักหมาไทยได้ศึกษาค้นคว้าและจัดพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ

ในหนังสือเล่มนี้มีข้อความพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึง “หมาเตี้ย” คุณทวีไทยคัดลอกมาลงในหนังสือ แม้ไม่ได้ระบุแหล่งที่มาของพระราชหัตถเลขา แต่ผมคิดว่าเป็นพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดา ในคราวพระองค์เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2450 ซึ่งต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระราชหัตถเลขาทั้งหมดไปตีพิมพ์โดยโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อว่า “ไกลบ้าน”

เสียดายหนังสือ “ไกลบ้าน” หาไม่เจอ ผมคงเก็บไว้ดีเกิน ไม่สามารถอ่านตรวจสอบได้ ส่วนข้อความพระราชหัตถเลขามีดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่ – กองบรรณาธิการ)

“วันนี้จับบทเรื่องหมา เพราะเขาเอามาขายอยู่บ่อยๆ ที่จริงนึกไว้แต่แรกว่า จะเอาหมาไปดี ไม่เอาไปดี
ใจหนึ่งนึกว่าไม่เอาละมีแล้ว แต่อีกใจหนึ่งนึกว่า กรมดำรงค์คงจะถามสองเรื่อง คือเรื่องกล้องแมช่อมและเรื่องหมา เพราะรู้กันอยู่ว่าเป็นของที่ติด อดเล่นไม่ได้ทั้งสองอย่าง เรื่องกล้องแมช่อม ตั้งแต่ร้านซัมเมอร์ที่เราเคยซื้อ ไม่เอากล้องดีมาให้ดู เลยออกจะฉุนๆ นึกว่าจะไม่เอากล้องแมช่อมเข้าไปเลย เมื่อเลิกกล้องแมช่อมแล้ว ก็นึกว่าจะไม่หาหมาเข้าไปเหมือนกัน กรมดำรงค์ถามจะได้ไม่มีทั้งสองอย่าง ให้แปลกหน่อย

แต่ดุ๊กอดเป็นสื่อไม่ได้ พอกลับจากนอร์เวย์ เอากล้องมาให้ดู พูดแก้แทนซัมเมอร์ต่างๆ ว่า มันตกอกตกใจเวลาที่พ่อไป ที่จริงกล้องดีๆ มันมีอยู่ ดุ๊กเอามาวางลงให้ดูต่างๆ อดไม่ได้ต้องคลำๆ แล้วก็อดชอบไม่ได้ ตกลงเป็นเสียพิธีในข้อที่จะไม่มีกล้องแมช่อมเข้าไปนั้น

เรื่องหมายังไม่ตกลงมาได้อีกเป็นนาน เมื่อไปนอร์เวย์พบใหญ่ตัวหนึ่ง บริพัตรตะลีตะลานมาบอกว่างามจริงๆ แลใจคอเป็นน้ำเหมือนอ้ายจุด ได้เกิดรักแลไปเล่นด้วย ข้อที่ไม่เอามานั้นเพราะเป็นเวลาเราเดินทาง มันโตเท่าคน ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหน ทั้งเอมเปอเรอรัสเซียก็เคยห้ามไม่ให้เลี้ยงหมาใหญ่ชนิดนี้ เลยทอดธุระไว้เสียที

ยังลืมเล่าถึงหมาควีนอาเลกซานดรา เพราะใครๆ จะเห็นได้ว่า ควีนอาเลกซานดรารักหมาสักเพียงไร ถ่ายรูปมีหมาเป็นนิจ ที่จริงเวลากินข้าวเช้าข้าวกลางวันด้วยกันเมื่ออยู่วินดีเซอ มีหมาออกมาเล่นอยู่สองตัวเสมอ ตัวหนึ่งเป็นหมาญี่ปุ่นแต่หายใจไม่ครางครอกแคร่ก ตัวนั้นโปรดมาก อีกตัวหนึ่งเป็นทำนองปูดัล มันฉลาดมากเที่ยวประจบพวกเราทุกคนที่นั่งกินข้าวอยู่ในโต๊ะนั้น แต่ตัวญี่ปุ่นไม่ประจบใคร ถ้าเรียกมาแต่พวกที่นั่งใกล้ควีนเช่นพ่อ เลยเปิดเรื่องหมากันขึ้น

พ่อได้ถามถึงหมาพันธุ์ที่เรียกกิงชาลส์ ซึ่งเป็นที่ร่ำๆ นักว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากว่ากระไรอยากจะได้ลูกสักตัวหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่มีความประหลาดที่ได้ความว่ากิงชาลส์นั้นไม่ใช่หมาอะไร หมาญี่ปุ่นนี่เอง พืชพันธุ์เดิมมันก็เป็นหมาญี่ปุ่น ตัวที่พ่อเห็นนั้นมันก็เป็นหมากิงชาลส์นั่นเอง ตกลงเลิกเลยไม่ขอ

คราวนี้ต่อมา เกิดความเอ็นดูหมาเตี้ยตัวยาวๆ ที่เขาเรียกว่าดักฮุนด์ สาเหตุที่จะเกิดเอ็นดูหมาเตี้ยขึ้นนั้นมันนมนานมาแล้ว ตั้งแต่ปรินซ์เฮนรี่ออฟรัสเซียเข้าไปบางกอก มีหมาเตี้ยตัวโปรดนอนบนพระแท่นอยู่ตัวหนึ่ง เวลาไปหาที่พระอุทยานเล่นๆ ออกชอบ แต่ยังไม่นึกรัก เฉยเรื่อยมาได้จนกระทั่งไปเดนมาร์คคราวนี้ เวลาอยู่โคเปนเฮเคน ขึ้นรถโมเตอร์คาร์ไปกับปรินเซสมารี ขึ้นชื่อว่ารถโมเตอร์คาร์ในเมืองเดนมาร์คแล้ว ไม่ว่าคน, ว่าม้า, ว่าหมา, กลัวอย่างยิ่งทั้งนั้นตกอกตกใจกันเสียแต่ไกลๆ ณ กาลวันหนึ่งไปตามชายทะเล ข้างหนึ่งเป็นเขาข้างหนึ่งเป็นทะเล พบผู้หญิงผู้ดีแก่ๆ คนหนึ่งเดินมา มีหมาเตี้ยตามหลังแต่งตัวใส่เสื้อ เพราะมันหนาวแลเห็นแต่ไกล ยายแก่นั้นก็ตกใจ หมาก็ตกใจ

ยายแก่นั้นยังเหลียวเก้กังว่าจะหลีกไปข้างไหนดี แต่หมานั้นวิ่งจนหูลู่ขึ้นบนเนินเขาที่มีต้นไม้รกๆ ไม่ยักซุ่มอยู่ในรก เจอะชะง่อนที่ข้างบนเป็นหญ้า ออกมานั่งเท้าแขนอยู่ที่ชะง่อนชะเง้อดูยายแก่ นายชะเง้อแล้วชะเง้อเล่าจนรถเราไปถึง พอถึงเข้ากลับหันหน้ามาดูรถ ทำหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่กลัวดอก พ้นแล้วพ้นแล้ว ได้ทักแลได้ดูพร้อมกันกับปรินเซสมารี เขาว่ามันฉลาดนัก

ครั้งที่สามเมื่อไปปารีสครั้งนี้ ไปฟอลเตณโมล ไปกินข้าวที่เรสเตอรองค์ คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มีหมาเตี้ยอยู่สองตัว นั่งพันอยู่กับขาเก้าอี้ หมาสองตัวนั้นงามมาก ได้พิเคราะห์ถี่ถ้วน ออกนึกชอบเป็นครั้งที่สาม ได้บอกกับชายว่าหมาเราก็มีหลายอย่างแล้ว ถ้าคราวนี้จะซื้อ อยากซื้อหมาเตี้ยไปลองเลี้ยงสักที

เขาเลยพรรณนาถึงเรื่องหมาเตี้ยต่างๆ เพราะคนเยอรมันชอบเลี้ยงกัน ชมกันว่าฉลาด ถึงกับแต่งหนังสือเรื่องหมาเตี้ยเล่าถึงความฉลาดต่างๆ จนออกจะไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นธรรมดาของคนหลงหมา เห็นไปได้ต่างๆ ไม่ตั้งใจจะปด แต่ก็ยังไม่ถึงเอะอะให้เที่ยวหา ครั้นมาวันนี้มีคนเอามาขาย จึงได้พิจารณาเลือกฟั้นกัน มีดีพอใช้คู่หนึ่ง ตกลงใจว่าจะซื้อ ราคาก็ไม่แพง แต่กลัวจะยังไม่สู้ดีแท้ ยังให้หาต่อไปอีก เพียงแต่ตกลงใจว่าจะซื้อหมาเตี้ยเท่านั้น กรมสมมตขอจองลูกตัวแรกเสียแล้ว กรมดำรงค์จะเห็นขันประการใด ในการ
ที่พ่อเลี้ยงหมาเตี้ย ซึ่งเคยค่อนไว้แต่ก่อน เรื่องมันหมดเข้า…”

ปิดท้ายจดหมายถึงท่านบรรณาธิการด้วยภาพถ่ายเก่า “ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่งไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเพื่อทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราชจำลอง เมื่อ พ.ศ. 2444”

ท่านบรรณาธิการและท่านผู้อ่านแฟนๆ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม เห็นอะไรหรือเปล่าครับ ที่กำลังนำเสด็จตรงบริเวณบันไดท่าน้ำวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก เห็นแล้วใช่ไหมครับ “หมาเตี้ย” ที่ทรงหลงรักนั่นเอง

ท่านผู้อ่านแฟนๆ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม เห็นอะไรหรือเปล่าครับ ที่กำลังนำเสด็จตรงบริเวณบันไดท่าน้ำวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก

ปัณณวิชญ์ ปองธรรม


ปรับปรุงในระบบออนไลน์ เมื่อ 3 เมษายน พ.ศ. 2562