กระท่อมน้อยในป่าใหญ่ กับการฉลองคริสต์มาสที่ไม่ได้ตั้งใจของทหารอเมริกันและทหารเยอรมัน

“ทหารอเมริกันและเยอรมันวางปืนและนั่งลงทานอาหารร่วมกัน” ฉากหนึ่งจากภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง (ขอบคุณภาพจาก http://www.filmstarts.de/kritiken/202184/bilder/?cmediafile=20283788 /Copyright Ascot Elite Home Entertainment GmbH Film)

การหยุดพักรบเพื่อฉลองวันคริสต์มาสร่วมกันของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรและทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ ค.ศ. 1914 ยังคงเป็นตำนานของช่วงเวลาสันติอันแสนสั้น ที่เกิดขึ้นมาแทรกช่วงเวลาของการประหัตประหารล้างผลาญชีวิตในสนามรบ

แต่หลังจากเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้น มันเป็นการรบล้างผลาญที่ยาวนานและโหดร้ายรุนแรงกว่าสงครามโลกครั้งแรกเป็นอย่างมาก รวมทั้งมันยังขยายวงกว้างออกไปครอบคลุมยุโรปเกือบทั้งทวีป ปี ค.ศ. 1944 เมื่อสงครามดำเนินมาได้ 5 ปี และยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติ มักจะมีคำพูดที่ทหารทุกฝ่ายมักจะได้ยินคำนี้จากปากผู้บังคับบัญชาของตน แม้มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้วดูจะมีความหวังแต่มันกลายเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เมื่อได้เผชิญกับความเป็นจริง

“ถ้าทำสำเร็จเราจะได้กลับบ้านก่อนวันคริสต์มาส”

คำพูดนี้ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย และลืมมันไปได้เลยหากคุณเป็นทหารที่แนวหน้า

เดือนธันวาคมปี ค.ศ.1944 ยุทธการบัลจ์ ดำเนินการรบมาอย่างต่อเนื่องและดุเดือด ฮิตเล่อร์ประกาศระดมพลและเรียกหน่วยสำรองต่างๆ ออกทำการรบอีกครั้งโดยหวังว่า เมื่อแผนการรบนี้สำเร็จ มันจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองกำลังพันธมิตรและนั่นจะทำให้ฝ่ายพันธมิตรขอเปิดการเจรจาสันติภาพขึ้น

ทหารอเมริกัน 3 นาย พลัดหลงจากหน่วยของตน พวกเขาต้องพากันช่วยพยุงร่างที่บาดเจ็บของเพื่อนทหาร เดินลุยหิมะและฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ พวกเขาหลงอยู่ในป่าอาเดนส์อันกว้างใหญ่ และพยามอย่างสุดความสามารถที่จะเดินกลับไปยังที่ตั้งของตนเองหรือพบกับทหารฝ่ายเดียวกันให้ได้ โชคชะตานำพาทหารทั้ง 3 นายมาพบกับกระท่อมน้อยแห่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้พบกับกระท่อมแห่งนี้ พวกเขาหวังจะใช้มันเพื่อหยุดพักและพยาบาลเพื่อนที่บาดเจ็บ

เมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าของกระท่อม หนึ่งในทหารทั้งสามนายเคาะประตู พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนอยู่ภายในแต่หากไม่มีการตอบรับใดๆ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะเข้าไปข้างใน แต่ทันใดนั้นประตูของกระท่อมก็เปิดออก เผยให้เห็นผู้หญิงคนนึง ที่ในมือถือเชิงเทียนส่องสว่างพร้อมกับจ้องมองมาที่ทหารทั้ง 3 นาย

ทหารอเมริกันพยามจะพูดกับเธอ แต่อุปสรรคด้านภาษาทำให้พวกเขาไม่สามารถอธิบายความต้องการของพวกตนได้ แต่ถึงแม้หญิงสาวจะไม่เข้าใจในภาษา แต่สัญชาตญาณของความเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตใจที่เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สภาพของทหารทั้ง 3 อิดโรย อ่อนล้าและหนาวเหน็บและภาพของทหารอเมริกันอีกหนึ่งนายที่บาดเจ็บ จึงทำให้เธอกวักมือเป็นการเชื้อเชิญให้เข้ามาในกระท่อมรวมทั้งช่วยพยุงร่างทหารอเมริกันที่บาดเจ็บเข้ามาภายใน

อลิซาเบธ วิกเก้น และลูกชายอายุ 12 ปีของเธอ ฟริส วิกเก้น คือเจ้าของกระท่อมน้อยหลังนี้ เดิมบ้านของเธอนั้นอยู่ที่เมืองอาเคน แต่ด้วยการทิ้งระเบิดอย่างหนักทำลายบ้านเรือนที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยจนเหลือแต่เศษซาก พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องย้ายที่อยู่และหาที่หลบภัยเหมาะๆ เพื่อที่จะใช้ชีวิตของตนต่อไป

อลิซาเบธ นำร่างทหารที่บาดเจ็บนอนลงบนพื้นและรีบลงมือทำอาหารร้อนๆ ให้ทหารทั้งสามนายได้รับประทาน โดยมีลูกชายของเธอคอยช่วยหยิบจับอยู่เคียงข้าง ฟริส นำมันฝรั่งมาให้ทหารอเมริกันได้ทาน แต่ขณะที่แม่ลูกคู่นี้กำลังต้อนรับแขกชาวอเมริกันอยู่นั้น เสียงประตูกระท่อมก็ดังขึ้นอีก ตอนแรกฟริสเข้าใจว่า คงเป็นคุณพ่อของเขาที่กลับมาแล้วแน่ๆ เขารีบไปเปิดประตูกระท่อม

แต่ทว่าภาพที่ฟริสเห็นกลับไม่ใช่พ่อของเขา แต่บุคคลที่มาเคาะประตูนั้นคือทหารเยอรมัน 4 นาย ที่มาพร้อมกับอาวุธครบมือ ฟริสส่งเสียงเรียกแม่มาที่ประตู อลิซาเบธเดินมาที่ประตูและตกใจกับภาพที่เห็น การช่วยเหลือทหารข้าศึกเป็นข้อห้ามสำหรับพลเรือนเยอรมัน และมีโทษที่รุนแรงสำหรับพฤติกรรมนี้

“คุณผู้หญิงครับ… พวกผมหลงทางและหิวมาก พอจะมีอาหารให้พวกเราได้ทานบ้างไหมครับ”

ทหารเยอรมันนายนี้พูดกับเธออย่างสุภาพอ่อนโยน ทำให้เธอพอใจชื้นขึ้นมาได้บ้างว่า มันไม่น่าจะมีอันตรายและพวกเขาไม่น่าจะเป็นคนที่ดูอำมหิต ประกอบกับทหารทั้งหมดหน้าตายังดูเด็กๆ บางคนดูแล้วเป็นรุ่นพี่ของลูกเธอไม่กี่ปีเท่านั้น อลิซาเบธ จึงเชิญทหารเยอรมันทั้ง 4 นายเข้ามาในกระท่อม แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาพบกับทหารอเมริกันทั้ง 3 ที่อยู่ข้างใน

พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างเล็งปืนเข้าหากัน อลิซาเบธ ตกใจกับภาพที่เธอเห็นมากๆ สงครามล้างผลาญที่รบกันมาเกือบ 5 ปี กำลังแสดงให้เธอเห็นอยู่ต่อหน้านี้แล้ว

“อย่านะ อย่าฆ่ากัน นี่มันคืนวันคริสต์มาสนะ จะต้องไม่มีการฆ่ากันในคืนนี้”

เธอตะโกนเรียกสติทหารทั้งสองฝ่าย และด้วยความอ่อนล้าอิดโรยของพวกเขาทั้งหมด จึงไม่มีใครคิดจะพิฆาตเข่นฆ่ากันในวินาทีนี้ พวกเขาลดปืนลงและวางมันห่างกาย

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างน่าจะผ่อนคลายลง อลิซาเบธบอกกับทหารเยอรมันว่า ให้นั่งพักรอก่อน ตอนนี้เธอกำลังปรุงอาหาร ขอให้ทุกคนรอและร่วมทานอาหารด้วยกัน เธอกลับไปทำอาหารต่อ กลิ่นของไก่อบ ตลบอบอวลไปทั่วกระท่อม ทหารทั้งสองฝ่ายเลิกจดจ่อการฆ่าฟัน หันมาสูดดมกลิ่นหอมของอาหารนี้พร้อมๆ กัน สายตาของพวกเขาจดจ้องกันอย่างระแวง แต่เมื่อหนึ่งในทหารเยอรมันหยิบยื่นไวน์และบุหรี่ให้ทหารอเมริกัน ความหวาดระแวงก็ค่อยๆ ลดลง และเป็นความโชคดีของทหารอเมริกันที่บาดเจ็บ เพราะหนึ่งในทหารเยอรมันนั้นเคยเป็นนักศึกษาแพทย์มาก่อน เขาจึงเขาช่วยเหลือพยาบาลทหารอเมริกันที่บาดเจ็บ

เมื่ออาหารพร้อม อลิซาเบธและฟริสเชื้อเชิญทหารทั้งสองฝ่ายมาที่โต๊ะและนั่งลง ทานอาหารร่วมกัน พวกเขาแม้จะสื่อสารกันลำบากด้วยอุปสรรคทางภาษา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำให้พวกเขาต้องกังวล ไก่อบที่ทุกคนได้ลิ้มรส คือของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้กับทหารหาญทั้งสองฝ่าย รวมทั้งครอบครัวของอลิซาเบธด้วย

เช้าวันต่อมา ได้เวลาที่พวกเขาต้องแยกย้ายกันไป ทหารอเมริกันพยามใช้แผนที่หาเส้นทางกลับไปยังแนวทหารของฝ่ายตน ทหารเยอรมันแนะนำทหารอเมริกันว่าพวกเขามิควรไปยังเมืองมอนเชา เพราะพื้นที่อื่นๆ ใกล้เคียงนั้น ยังอยู่ในการยึดครองของฝ่ายเยอรมัน พร้อมกับมอบเข็มทิศให้กับทหารอเมริกันใช้หาทิศทาง ก่อนจากลาพวกเขาจับมือกันและเดินกลับไปยังแนวรบของแต่ละฝ่าย

อลิซาเบธและฟริส สองแม่ลูกมีชีวิตอยู่จนสิ้นสุดสงคราม แต่อลิซาเบธเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 1960 และหลังจากนั้น ฟริส วิกเก้น แต่งงานและย้ายไปอยู่ที่ ฮอนโนลูลู ฮาวาย และเปิดร้านเบเกอรี่ที่นั่น แต่ประสบการณ์ที่เขาได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ของคืนวันคริสต์มาส ที่ทหารเยอรมันและอเมริกันได้ร่วมฉลองและทานอาหารร่วมกันในคืนนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา ฟริสพยามอย่างสุดความสามารถในการตามหาทหารอเมริกันและทหารเยอรมันที่เขาพบในคืนนั้น เขาพยามประกาศหาลงในหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววหรือการตอบรับใดๆ แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่เขาก็ยังพยามตามหาทหารกล้าเหล่านั้นต่อไป และเหมือนโชคจะเข้าข้างฟริส เพราะเรื่องราวที่เขาประกาศไปเข้าตาของประธานาธิบดีเรแกน ซึ่งเป็นประธานนาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น

โดยที่ท่านประธานาธิบดี ได้ติดต่อประสานงานไปยังประเทศเยอรมัน ให้ช่วยบอกเล่าเรื่องราวและตามหาทหารเยอรมันกลุ่มนั้น แต่ก็เหมือนจะไร้ผลเพราะไม่มีการตอบกลับใดๆ เลย จนทุกคนคิดว่า ทหารหาญเหล่านี้คงจะเสียชีวิตกันหมดแล้ว จนกระทั่งเมื่อรายการทีวีนำเรื่องราวของฟริสไปทำเป็นสารคดีที่ชื่อ Unsolved Mysteries ในปี ค.ศ. 1995 ก็มีโทรศัพท์จากเมืองเฟดเดอริก มลรัฐเมรี่แลนด์ ติดต่อเข้ามาในรายการ โดยอ้างว่าเรื่องราวที่รายการนำมาเสนอนั้น ตรงกับประสบการณ์ที่เขาพบเจอในช่วงที่เขาเป็นทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางรายการจึงติดต่อกลับไปยังฟริสเพื่อร่วมบินไปยังแมรี่แลนด์เพื่อพบกับชายคนนั้นทันที

ฟริส วิกเก้น (ขวา) ได้พบกับ ราฟ แบลงค์ คุณปู่ทางซ้าย เมื่อ ปี ค.ศ. 1996

มกราคมปี ค.ศ. 1996 ฟริสได้พบกับ ราฟ แบลงค์ และสิ่งหนึ่งที่มันช่วยยืนยันว่า ราฟ คือทหารอเมริกันกลุ่มนั้นที่ฟริสตามหาก็คือ “เข็มทิศ” ที่ทหารเยอรมันมอบให้เขาก่อนจะแยกย้ายกันไป

“แม่ของเธอช่วยชีวิตฉันเอาไว้”

นี่คือคำพูดของ ราฟ แบลงค์ ที่พูดกับ ฟริส เมื่อทั้งสองคนได้พบกัน ฟริสยังมีโอกาสได้พบกับทหารอเมริกันอีก 2 นายที่เหลือ แต่น่าเสียดายที่ทางฝั่งทหารเยอรมันไม่สามารถตามหาพวกเขาได้เลย แม้แต่คนเดียว

ฟริส วิกเก้น เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2002 ก่อนที่เขาจะอำลาโลกนี้ไปเขาได้กล่าวว่า

“คราวนี้ผมนอนตายตาหลับแล้ว… สิ่งที่แม่ผมได้ทำลงไปจะไม่ถูกลืม และมันแสดงให้เห็นถึงสิ่งดีๆ ที่ควรจะทำ”

เรื่องราวของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ออกฉายเมื่อปี 2002 โดยมี ลินดา เฮมิลตั้น ผู้เคยฝากผลงานการแสดงไว้กับภาพยนต์แอคชั่นไซไฟอย่าง คนเหล็กภาค 1 และ 2 ในบทบาทของ อลิซาเบธ วิกเก้น

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

[1] https://owlcation.com/humanities/About-World-War-2-A-Small-Christmas-Truce

[2] http://bytesdaily.blogspot.com/2014/12/elisabeth-vincken.html

[3] http://the.honoluluadvertiser.com/article/2002/Jan/11/ln/ln37a.html

[4] http://www.imdb.com/title/tt0338434/


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ธันวาคม 2561