กุหลาบ สายประดิษฐ์: มนุษยภาพ

กุหลาบ สายประดิษฐ์ และ ชนิด สายประดิษฐ์
กุหลาบและชนิด สายประดิษฐ์ ที่บ้านซอยพระนาง (ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2485)

1

ความซื่อตรงคือความจริง

ความจริงคือความซื่อตรง

ส่วนนำ

ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ด้วยความมุ่งหมายที่จะปรับฐานะของมนุษย์ให้ได้ระดับอันทุกคนควรจะเป็นได้ ข้าพเจ้าจะได้รับความเชื่อถือจากเรื่องนี้สักเพียงไหน ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านทั้งหลายจะพิจารณา เรื่องนี้จะต้องกล่าวพรรณนากันอย่างติดจะยืดยาว จึงขอย้อนเอาเรื่องตอนต้น ซึ่งได้เคยลงพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ มาตรวจแก้ไขปรับปรุงขึ้นใหม่ เพื่อให้เรื่องราวติดต่อกันไปเป็นอันดี-กุหลาบ สายประดิษฐ์ [31 มีนาคม พ.ศ. 2448 – 16 มิถุนายน พ.ศ. 2517]

มนุษยภาพ หรือความเป็นมนุษย์ หรือความเป็นคน ควรวางอยู่บนลักษณะอย่างไร ชาวโลกทั้งหลายแม้ที่ได้บรรลุอารยธรรมแล้วก็ยังมีความเห็นแตกต่างไม่ลงรอยกัน ทั้งที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก เพราะพลโลกทุกคนย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่อย่างครบถ้วน ในต่างประเทศเขาสนใจกันเป็นที่ยิ่ง ประหลาดที่ในบ้านเราเกือบจะไม่มีการนำพากันเสียเลย ตัวเราเป็นใคร มีส่วนอยู่มากน้อยเพียงไร ในความเสื่อมความเจริญของประเทศชาติ เรามีสิทธิอะไรบ้าง และควรใช้สิทธินั้นได้ภายในขอบเขตเท่าใด ที่นิติธรรมของประเทศอนุญาตให้ พวกเราโดยมากไม่ทราบและไม่พยายามที่จะทราบ ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้เลย ว่าเหตุใดพลเมืองสยามจึงพาความสนใจของเขาข้ามเขตแดนปัญหาสำคัญอย่างอุกฤษฏ์นี้ไปเสีย บางทีก็จะเป็นด้วยเขามัวเป็นห่วงท้องของเขามากเกินไป ถ้าเป็นจริงดังนี้ จะน่าอนาถใจเหลือเกิน

กล่าวกันว่าข้ารัฐการจีนนั้นก่อนจะเปิดการประชุมว่าด้วยข้อราชการสิ่งใด ย่อมจะนำเอาภาพของท่านหมอซุนยัดเซนมาประดิษฐานไว้กลางโต๊ะ แล้วก็พากันลุกขึ้นคำนับครบ 3 ครั้ง จึงจะเริ่มเรื่อง และพวกพราหมณ์ในเมื่อจะสาธยายเวท ย่อมจะกล่าวสดุดีคุณของพระพิฆเนศเป็นปฐมฤกษ์เสียก่อน อันว่าการเขียนเรื่องมนุษยภาพนี้ได้ตั้งมโนปรารถนาที่จะเขียนด้วยความรู้สึกอันจริงใจ และมั่นหมายให้ท่านทั้งปวงอ่านด้วยความรู้สึกชนิดเดียวกัน แม้จะต้องขัดกับหลักความคิดเห็นของผู้อื่น ข้าพเจ้าก็พอใจ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นควรจะกล่าวในความจริง ให้เป็นที่ยึดมั่น ทั้งของผู้เขียนและผู้อ่านเป็นประเดิมเสียก่อน

สไมล์เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า ความจริงและความซื่อตรงจะต้องไปด้วยกันเสมอ ความซื่อตรงคือความจริง และความจริงก็คือความซื่อตรง คุณธรรมอันนี้จัดว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของคนทั่วไป เพราะบุคคลใดที่ถือความจริงหรือความซื่อตรงประจำใจ แม้เป็นผู้รับใช้ก็ย่อมเป็นที่อุ่นใจของหัวหน้า และแม้เป็นหัวหน้าก็ย่อมเป็นที่เชื่อมั่นของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ความจริงเป็นสิ่งแรกที่ลูกผู้ชายทุกคนต้องการ ความจริงเป็นหัวใจของบ่อเกิดแห่งนิติธรรมต่างๆ เป็นหัวใจของความบริสุทธิ์และของความอิสระ

การอ่านหรือฟังความเห็นของบุคคลต่างๆ ความจริงและความซื่อตรงยิ่งจำเป็นหนักขึ้น คนเราในทุกวันนี้ โดยที่เห็นแก่ท้องจนเกินไป ได้ยอมละเสียซึ่งคุณธรรมดังกล่าวแล้ว ความเห็นแก่ตัวเองทำให้เราสมัครเชื่อถือในสิ่งที่ปราศจากเหตุผลและเหลวไหล ในบางขณะเราถึงกับเชื่อ โดยลงทุนด้วยการลวงตัวเราเองอย่างน่าบัดสี เราไม่ยอมสู้หน้ากับความจริง นี่แหละ ในที่สุดได้ทำให้เราขาดเอสเซนซ์ของความเป็นมนุษย์ จนเราได้กลายไปเป็นประดุจรูปหุ่น ซึ่งเคลื่อนไหวได้ด้วยอำนาจของเครื่องยนต์กลไก ท่านผู้อ่านคงจะรู้สึกบ้างในบัดนี้ว่า อิทธิฤทธิ์ของความจริงหรือความซื่อตรงนั้น มีหรือไม่ และมีเพียงไร

ถ้าเราไม่สู้หน้ากับความจริง นั่นแปลว่าเราได้หันหน้าเข้าหาความหลอกลวง หรือโกหกตอแหล ความหลอกลวงไม่เพียงแต่จะย้อมให้เราเป็นบุคคลที่ปราศจากความซื่อตรงอย่างเดียว ยังซ้ำทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นเจ้าขี้ขลาดตาขาวอีกสถานหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงทั้งหมด ยังเป็นภัยน้อยกว่าสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงครึ่งหนึ่งและความจริงอีกครึ่งหนึ่ง

พลาโตจอมเมธีของโลกมักพูดอยู่เนืองๆ ว่า “ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้า ที่ให้ข้าพเจ้ามาเกิดเป็นคนกรีก ไม่ใช่คนป่า เกิดมาเป็นไทแก่ตัว ไม่ใช่ทาส เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดนั่นคือ ข้าพเจ้าได้มาเกิดในสมัยของโสเครตีส”

ก็พวกเราทั้งที่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ มีอะไรบ้างที่เราควรจะภูมิใจและขอบใจในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้บันดาลให้เรามาเกิด เราไม่เคยพบสมัยของโสเครตีส หรือคล้ายกับโสเครตีสในบ้านเรา เรามีความภูมิใจแต่เพียงน้อยนิดที่ได้มาเกิดเป็นคนไทย ซึ่งตามประวัติศาสตร์และพงศาวดารได้แสดงว่าเราเป็นไทแก่ตัว เรามีอิสรภาพทั้งในทางปฏิบัติและในทางความคิดละม้ายคล้ายคลึงกับอิสรชนทั้งหลายในโลก แต่ข้าพเจ้าให้วิตกว่าในความเป็นไปที่เราได้เผชิญหน้าอยู่ เราได้ทำลายความภูมิใจอันเล็กน้อยอันนั้นเสียแล้ว เราได้ม้วนตัวของเราเข้าไปเป็นทาสความคิดของผู้อื่น นั่นก็เพราะเหตุอย่างเดียว คือเราพากันยอมสละเสียซึ่งการสู้หน้ากับความเป็นจริง ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของความจริงกว้างขวางขึ้นอีกหน่อย แต่ท่านอย่าพึ่งพอใจการกล่าวบูชาคุณความจริงเพียงเท่านี้ ยังไม่พอควรแก่การสักการะ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวต่อไปอีกในวันหน้า

(จากศรีกรุง ฉบับวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พุทธศักราช 2474)

2

ความหลงของมนุษย์

ถือว่าอำนาจทำอะไรถูกหมด

วอลแตร์ถูกกล่าวว่า “เขาตายไปพร้อมด้วยความจริงและพูดเหมือนดินระเบิดแตก”

บรรดาคนสำคัญของโลกซึ่งชื่อเสียงของเขาไม่รู้จักวันตาย มักมีนิสัยบูชาความสัจจริงยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด พลาโตได้กล่าวสดุดีคุณธรรมข้อนี้ไว้ว่า “ผู้ที่จะอยู่ให้จำเริญ จงยึดมั่นอยู่ในความจริง” อนึ่งในการกล่าวขวัญถึงลินคอล์น ได้มีผู้เขียนว่า “เขาอยู่ เขาทำงานและเขาตายเพื่อความจริงและความยุติธรรม แม้บางทีโชคของเขาก็ไม่งาม” และวอลแตร์อีกผู้หนึ่งซึ่งมีผู้กล่าวถึงเขาว่า “เขาตายไปพร้อมด้วยความจริงและพูดเหมือนดินระเบิดแตก”

ขอให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องเก่าแก่ให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เมื่อเรกุลุสชาวโรมันผู้เป็นเชลยของชาวคาร์เทยิเนียนได้ถูกส่งมายังกรุงโรม ภายใต้ความคุ้มครองของคณะทูต เพื่อเจรจาขอสงบสงครามกับกรุงโรม ได้มีสัญญาต่อกันว่า แม้ไม่เป็นผลสมปรารถนาของกรุงคาร์เทจ เรกุลุสจะต้องกลับมาเป็นเชลยของเขาดังเดิม เรกุลุสก็กระทำสัตย์สาบานรับรองสัญญานั้น ครั้นมาอยู่ในที่ประชุมของเมืองบิดรมารดา เรกุลุสได้ชักชวนให้ผู้แทนราษฎรโรมันขับเคี่ยวสงครามกับกรุงคาร์เทจสืบไป และขอไม่ให้รับสัญญาเพื่อแลกอิสรภาพของชาวโรมันที่ถูกจับไปเป็นเชลย ทุกคนตอบตกลงตามคำขอของเรกุลุส แต่ที่ประชุมรวมทั้งท่านหัวหน้าพระองค์หนึ่งได้คัดค้านในข้อที่เรกุลุสจะยอมกลับไปยังเมืองคาร์เทจอีก โดยอ้างว่าเป็นสัญญาที่ถูกบังคับให้กระทำ ใช้ไม่ได้ เรกุลุสกลับตอบว่า

“นี่ท่านทั้งหลายจะมาชวนกันทำลายเกียรติยศของข้าพเจ้าเสียแล้วหรือ ข้าพเจ้าทราบว่า ความตายและการทรมานกำลังเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับข้าพเจ้า ณ เมืองคาร์เทจ แต่สิ่งเหล่านี้หรือจะมาแลกกับความอับอายของการกระทำที่บัดสี หรือแลกกับความเจ็บปวดของหัวใจ ที่ได้กระทำผิดต่อสัญญาของเขา ร่างกายของข้าพเจ้าเป็นเชลยของชาวคาร์เทจนั้นจริงแล้ว แต่วิญญาณของชาวโรมันยังคงสิงอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะกลับ ข้าพเจ้าต้องทำดังที่ได้ลั่นวาจาไว้” แล้วเรกุลุสก็ได้กลับคืนไปยังเมืองคาร์เทจในฐานะเชลยอีก และได้รับการทรมานตายที่นั่น

นี่แหละทำให้เห็นว่าการบูชาความสัตย์จริง ได้มีอยู่อย่างน่าเลื่อมใสในสมัยนับตั้งร้อยปีพันปีมาแล้ว ในทุกวันนี้ โลกมีความเจริญรุ่งเรืองเหลือสติกำลังนัก จนดูเหมือนว่าชาวโลกของเรา สามารถถึงกับได้เลื่อนเอาภูมิแห่งเมืองสวรรค์และนรกมารวมไว้ในโลกมนุษย์ทั้งหมด วิทยาศาสตร์ในทางประดิษฐ์ก้าวหน้าไปไกลเพียงใด วิทยาศาสตร์ในทางโกหกตอแหลก้าวหน้าไปไกลเพียงนั้น

ที่กล่าวดังนี้ ใช่จะเป็นการกล่าวอย่างพล่อยๆ หาไม่ได้ บางท่านคงจะได้ยินใครพูดกันบ้างดอกว่า “การโกหกตอแหลที่ได้ทำกันนอกประเทศคือผลประโยชน์ของประเทศ” นี่แหละเป็นภาษิตของท่านพวกทูตละ อนึ่ง ตามความนิยมของพวกที่เรียกตัวเองว่าคนชั้นสูง เมื่อเวลามีใครมาหา แม้เขาจะอยู่ในบ้านถ้าไม่ประสงค์จะรับแขกเขาจะบอกว่า Not at home ความนิยมอันนี้ได้ระบาดกันเข้ามาในบ้านเราบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น ที่ข้าพเจ้าว่า วิทยาศาสตร์ของการโกหกตอแหลกำลังก้าวหน้า จึงไม่ใช่เป็นคนพูดอย่างพล่อยๆ

การโกหกตอแหล การหลอกลวงได้ก่อกำเนิดจากคณะรัฐบาลและหมู่ชนชั้นสูง ดังตัวอย่างที่ได้ยกมากล่าวไว้ข้างต้น และเมื่อคิดถึงว่าอำนาจเป็นสิ่งบันดาลความนิยม และอำนาจในทุกวันนี้เราหมายกันถึงเงินกับชนชั้นสูง ฉะนั้น เราจะไม่เตรียมตัวไว้ตกใจกันบ้างหรือว่าวิทยาศาสตร์ของการโกหกตอแหล จะแพร่หลายและนิยมกันทั่วไปในบ้านเรา

ข้าพเจ้าว่าอำนาจบันดาลความนิยม และอำนาจคือเงินกับชนชั้นสูงนั้นเป็นการแน่แท้ ด้วยอะไรที่เงินหรือชนชั้นสูงกระทำ เราถือว่าเป็นการถูกต้อง ควรนิยมทุกอย่าง จนถึงมีศัพท์บ้าๆ อะไรเกิดขึ้นคำหนึ่งว่า ปาปมุติ คือผู้ไม่รู้จักมีบาป ผู้ทำอะไรไม่ผิด หรือมิยินยอมให้ว่าเป็นถูก นั่นมันเป็นการที่ต่างหลอกลวง อย่างนี้ซึ่งสิ่งใดผิดถูกชอบที่จะว่าให้ขาวเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูงที่เราพากันเชื่อถืออย่างงมงายเช่นนี้ แสดงว่าเราไม่สู้หน้ากับความเป็นจริงนั้น ไม่เห็นปรากฏมีใครในโลกที่จะทำอะไรไม่ผิดเลย ถึงท่านเจ้าของลัทธิหรือศาสนาทั้งหลาย อันมีผู้เคารพสักการะทั่วโลกก็ยังปรากฏว่าได้เคยคิดหรือทำอะไรผิดมาเหมือนกัน

โดยเหตุที่มักหลงเชื่อกันอยู่ว่าอำนาจย่อมทำอะไรถูกต้องเสียหมดนั่นเอง สงครามในโลกจึงหาเวลาสิ้นสุดยุติไม่ได้ และความปั่นป่วนจลาจลความเดือดร้อนร้อยแปด จึงย่อมปรากฏอยู่ทั่วไปทุกซอกทุกมุมของโลก นี่เป็นเครื่องแสดงผลร้ายของการไม่สู้หน้าของความเป็นจริงอีกข้อหนึ่ง ข้าพเจ้ายังจะมาซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้บางตอนอีกในวันข้างหน้า

(จากศรีกรุง ฉบับวันเสาร์ที่ 16 มกราคม พุทธศักราช 2474)

3

ความสงบ

ผู้เขียนๆ ว่า ขอให้ทุกคนอย่าดูถูกค่าของคอมมอนเซนส์ (ความรู้สึกธรรมดา) เพื่อพิจารณามนุษยภาพต่อไป

บุคคลผู้นี้มีอำนาจอันประกอบขึ้นด้วยชาติตระกูล ด้วยยศศักดิ์ หรือด้วยเงินก็ตาม มักพอใจปั่นให้คนทั้งหลายหลงด้วยวาจาอันไพเราะเพราะพริ้งของเขา เขาทำดังนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ข้าพเจ้าไม่อยากตอบ แต่แน่นอน ต้องไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของชาติ จริงอยู่ ในสมัยนี้คนโง่ยังมีมาก หรือคนฉลาดที่ไม่เอาธุระของเพื่อนร่วมชาติยังมีอยู่ดาษดื่น ผู้มีอำนาจดังกล่าวแล้ว จะดำเนินการพูดเพราะของเขาไปได้โดยราบรื่น แต่ทุกคนย่อมรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้มันหมุน และสรรพสิ่งในโลกจะไม่หยุดอยู่กับที่ ฉะนั้นจึงเป็นการแน่นอนที่เขาเหล่านั้นจะต้องพบอุปสรรคในวันหนึ่ง

ในสมัยก่อนเราถามไม่มีใครตอบ ในสมัยปัจจุบันเราถาม มีคำตอบบ้างแต่ไม่ทั้งหมด และมีความจริงบ้าง โกหกบ้างในคำตอบเหล่านั้น ในสมัยที่เราๆ อยู่ข้างหน้า เราจะได้คำตอบที่เต็มตามคำถาม และต้องจริงทั้งหมด ความต้องการของมนุษย์ในที่สุดจะไปยุติอยู่ที่ความจริง

ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในวันก่อนว่า อำนาจบันดาลความนิยม นี่เป็นความจริงมาแต่บรรพกาล ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันสมัย และยังจะเป็นต่อไปอีกจนกว่าโลกแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่าสิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ในโบราณสมัยอำนาจจะอยู่กับกษัตริย์หรือนักรบ บางคราวอยู่กับนักพูด บางคราวอยู่กับบุคคลชั้นสูง เป็นต้นว่าพวกเจ้านายและอำมาตย์ บางคราวที่โลกย่างเข้าสู่สมรภูมิแห่งเศรษฐสงคราม อำนาจย่อมอยู่กับเงิน ในประเทศรัสเซีย ณ สมัยปัจจุบัน อำนาจตกอยู่กับคนจน และในอารยประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกา อำนาจเฉลี่ยตัวของมันอยู่กับบุคคลทั่วไป อำนาจบันดาลความนิยม มันเป็นความจริงทุกกาลทุกสมัย แต่สิ่งที่ปรุงแต่งอำนาจย่อมแปรผันไปได้ตามโอกาส ในเมืองใดถ้าอำนาจอยู่ที่เงินกับชนชั้นสูง และผู้ที่กำอำนาจจะไม่ละเสียซึ่งการสู้หน้ากับความจริง แล้วหันเข้าหาความโกหกตอแหลตะพึดตะพือไป อำนาจจะคงที่ไม่แปรรูปไปเป็นอื่นได้

สมมุติว่าตัวเราเองเป็นหัวหน้าอยู่ในบ้านๆ หนึ่ง ถ้าเราเกิดขาดแคลนจนถึงไม่มีสตางค์ซื้อข้าวให้คนในบ้านของเรากิน ความจริงจะบอกกับเราและกล้าสู้หน้ากับความเป็นจริงดั่งนี้ เราย่อมจะเห็นแก่ท้องของเราจนเกินไปไม่ได้ เราคงจะยอมสละอาหารอย่างดีของเราชั้นหนึ่ง เพื่อแลกกับอาหารเลวๆ หลายชั้น แล้วเอามาแบ่งให้คนของเราได้กินโดยทั่วถึงกัน บ้านเราก็จะมีความสงบสุข ปราศจากความเดือดร้อนใดๆ โดยตัวเราเองจะขาดไปเพียงนิดหนึ่ง ก็ที่ตรงโอชารสอันเคยมีแก่ลิ้นของเราเท่านั้น

แต่ขอให้เรามาพูดกันด้วยความสัตย์จริงใจเถิดว่า ทุกวันนี้เราพอใจสู้หน้ากับความเป็นจริงกันบ้างหรือเปล่า ข้าพเจ้าเคยพบแต่เขาโกหกตัวของเขาเองอย่างง่ายดาย เจ้าหมอนั่นมันพออดข้าวได้ถึงสามมื้อ แน่นอนมันพอทนความลำบากชนิดนั้นได้ดอกน่ะ ความเดือดร้อนเพียงเท่านั้นไม่เป็นไรสำหรับมัน เรายังไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้น เราเรื่อยๆ ของเราไปก่อนได้ นี่ซิโลกของเราจึงไม่มีเวลาสงบ ความเจ็บปวดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ระหว่างคนชั้นหนึ่งกับอีกชั้นหนึ่งจึงได้ปรากฏทั่วไปในประเทศต่างๆ การรวบเร่งรวมกำลังกันตั้งขึ้นเป็นหมู่ เป็นคน เป็นสมาคม จึงอุบัติตามๆ กันขึ้นมา เพื่อความมุ่งหมายอย่างเดียวที่จะใช้กำลังอันได้รวมกันเข้าดีแล้ว บังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่โกหกตัวเอง เพื่อประโยชน์ของตัวเองและบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งสู้หน้ากับความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก

บัดนี้เราย่อมรับกันได้ว่า การไม่สู้หน้ากับความจริง คือบ่อเกิดของความไม่สงบสุขเป็นเที่ยงแท้ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ทันเขียนเรื่องนี้ให้กระจ่าง ท่านผู้อ่านบางคนอาจติเตียนว่าข้าพเจ้าเขียนในสิ่งที่เหลวไหล ทีนี้คงเห็นกันทั่วแล้วซิว่า ความจริงกับความสงบเป็นของคู่กัน แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็สอนให้มนุษย์สู้หน้ากับความเป็นจริง ให้เชื่อด้วยมีใจศรัทธา มิใช่ให้เชื่อด้วยความงมงาย หรือหลอกลวง หรือข่มขี่บังคับการโกหกตอแหลนั่นเทียว นี่เป็นบ่อเกิดของความปั่นป่วนจลาจล และนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษยชาติ

ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นว่า ความจริงคือความสงบ จึงได้เซ็นชื่อจริงลงไว้ในการเขียนเรื่องนี้ เพื่อบูชาคุณความจริงด้วยน้ำใสใจจริงแท้ อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้าอยู่ข้างรำคาญเต็มที ที่ได้ยินผู้พูดกันนักว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมีท่านขุนนางผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้เป็นผู้หนุนหลัง เป็นผู้เขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดูๆ บุคคลที่ไม่ได้เป็นขุนนางหรือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ผู้อ่านเรื่องนี้ ตั้งต้นด้วยการหลอกตัวเอง จึงเซ็นชื่อกำกับไว้เพื่อให้ท่านดูงานของคนเป็นข้อใหญ่ แม้บางท่านจะพูดว่า นี่เป็นเรื่องของเจ้าเด็กเขียน ไม่ต้องการอ่าน ช่างเถอะ ข้าพเจ้าไม่น้อยใจ บางทีในวันหนึ่งท่านอาจจะหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจก็ได้ ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรพิเศษอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าเขียนไปตามคอมมอนเซนส์บอก ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนอย่าดูถูกค่าของคอมมอนเซนส์ วันหน้าเราจะได้พิจารณากันถึงเรื่องมนุษยภาพต่อไป

(จากศรีกรุง ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พุทธศักราช 2474)

…ต้นฉบับพิมพ์มีเพียงเท่านี้…

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 มีนาคม 2560