ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2545 |
---|---|
ผู้เขียน | ภาษิต จิตภาษา |
เผยแพร่ |
บทอัศจรรย์คือคำบรรยายความรู้สึกขณะร่วมเพศด้วยความเปรียบเทียบ (ซึ่งไม่มีทางอื่นที่จะอธิบายไม่ให้หยาบคายได้) ส่วนเปรียบเทียบกับอะไรก็แล้วแต่ประสบการณ์และความคิดของกวี บ้างก็เปรียบกับพายุที่พัดจนท้องทะเลเป็นบ้า แต่พอฝนตกก็หายไป เช่น
พลายแก้วกับนางพิม :-
“เผยออกยกนางขึ้นวางตัก กำเริบรักเชยชิดสนิทสนม
ป่วนปั่นกระสันเสียวเกลียวกลม ก็เกิดลมพายุใหญ่ประลัยกัลป์
พัดกระพือโผงผางจะล้างโลก พระสุเมรุเอนโยกตลอดลั่น
สะเทือนท้องคงคาพนาวัน มืดอาทิตย์มิดจันทร์จลาจล
พฤกษาดอกงอกงามอยู่ตามฝั่ง ก็ย่อยยับพับพังกระทั่งต้น
ฟ้าเปรี้ยงเสียงร้องก้องคำรน แต่พอฝนตกหายพายุฮือ“
บ้างก็เปรียบกับแมลงภู่เฟ้นฟอนดอกไม้ แล้วจบด้วยฟ้าคะนองฝนตก เช่นคู่
สังคามาระตา-จินตะหรากุสุมา :-
“ชมแก้มแนมดวงสุมาลี ฤดียียวนไปมา
ภุมเรศคลึงเคล้าเกสร แซกซอนฟอนฟั้นบุปผา
เบิกบานทานแสงสุริยา เมฆาชอุ่มอนธการ
เมขลาล่อแก้วแววไว รามสูรเลี้ยวไล่ขว้างขวาน
เสียงสนั่นพสุธาบาดาล ทั้งสองแสนสำราญบานใจ”
ในขุนช้างขุนแผน กวีบางท่านหลีกจากพายุไปใช้พระอาทิตย์-พระจันทร์ และจบด้วยแมลงทับแทนแมลงภู่
ขุนแผน-แก้วกิริยา :-
“อุ้มนางวางตักสะพักรับ ทอดทับระทวยลงดังท่อนทอง
พระพายชายพัดบุปผาชาติ เกสรสาดหอมกลบตลบห้อง
ริ้วริ้วปลิวชายสไบกรอง พระจันทร์ผันผยองอยู่ยับยับ
พระอาทิตย์ชิงดวงพระจันทร์เด่น ดาวกระเด็นใกล้เดือนดาราดับ
หิ่งห้อยพร้อยไม้ไหวระยับ แมลงทับท่องเที่ยวสะเทือนดง”
ทำไมต้องมีบทอัศจรรย์
ก็เพื่อให้รู้ว่า พระ-นางคู่นั้น “ได้-เสีย” กันแน่ ๆ ถ้าเพียงแต่กอดจูบลูบคลำแล้วละไว้ในฐานที่เข้าใจ (เพราะกลัวหยาบคาย) บางท่านก็ยังคลางแคลง เพราะมีเป็นอันมากที่ได้สัมผัสแต่ภายนอก แต่ถ้ามีบทอัศจรรย์ก็แน่นอนได้ว่ามี “สัมผัสใน”
ต้องยกย่องและขอบคุณกวีโบราณ ที่ท่านสามารถบรรยายสิ่งที่กระดางลางให้เราฟังได้โดยไม่หยาบคาย นอกจากไม่หยาบคายแล้ว ยังไพเราะเพราะพริ้ง และสนุกด้วย
บทอัศจรรย์มีมาแต่เมื่อไร
หนังสือประวัติวรรณคดีของเราทุกเล่มจะเริ่มต้นที่ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ว่าเป็นวรรณคดีเล่มแรก นั่นก็โดยความยกย่อง เพราะเป็นเอกสารชิ้นแรกนับแต่มีตัวอักษร แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นเพียงจดหมายเหตุเท่านั้น
เล่มที่ 2 ก็ไตรภูมิพระร่วง นี่ก็ไม่ใช่อีก เป็นเพียงหนังสือที่รวบรวมความรู้เรื่องภูมิต่าง ๆ จากนานาคัมภีร์ ในพุทธศาสนามาเรียบเรียงขึ้นเท่านั้น ถ้าจะว่าเป็นวิทยานิพนธ์ก็ใช่ และเป็นวิทยานิพนธ์ชั้นยอดด้วย หรือว่าจะเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทย (ก่อนมีมหาวิทยาลัย) ก็ใช่อีก
มาเป็นวรรณคดีจริง ๆ ก็ในสมัยพระบรมไตรโลกนารถ คือมหาชาติคำหลวง ในมหาชาติคำหลวงนั้นมีการเป็นผัวเป็นเมียกัน คือชูชกได้นางอมิตตดาเป็นเมีย แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงการสังวาส จึงไม่มีบทอัศจรรย์ มามีเอาในสมัยต่อมา คือ พระลอลิลิต มีหลายบทครับ แต่เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ ขอเสนอบทเดียว :-
“กระเทือนฟ้าฟื้นลั่น สรวงสวรรค์
พื้นแผ่นดินแดยรร หย่อนไส้
สาครคลื่นอึงอรร ณพเฟื่อง ฟองนา
แลทั่วทิศไม้ไหล้ โยกเยื้องอัศจรรย์”
สรุปได้ว่าบท อัศจรรย์นี้มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้น หลังรัชกาลพระเจ้าบรมไตรโลกนารถลงมา
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “บทอัศจรรย์ บทอะไร? ทำไมต้องมี? มีเมื่อไร?’” เขียนโดย ภาษิต จิตภาษา ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2545
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กันยายน 2561